Overview
บทสรุป SOMA ฉบับละเอียด ทั้งเนื้อเรื่อง สถานที่ ข้อมูลมอนสเตอร์ ข้อมูลตัวละคร ข้อมูลปลีกย่อยอื่นๆ แปลเอกสารในเกมส์เป็นภาษาไทย รีวิวให้ด้วยเอ้า ภาษาไทยสำหรับคนไทยเท่านั้น อ่านรู้เรื่อง ครบถ้วน ได้อารมณ์แน่นอน
วิธีการใช้งานไกด์ฉบับนี้ให้ได้อรรถรส
โดยหลักแล้ว สิ่งที่คาดหวังว่าคุณจะได้จากไกด์ฉบับนี้คือการเข้าใจเนื้อเรื่องโดยละเอียด ซึ่งจะเสริมอรรถรสในเกมส์อย่างมากเพราะเกมส์นี้จุดเด่นคือ “เนื้อเรื่อง” หากคุณอ่านตามที่ผมสรุปนี้คุณจะเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมดอย่างแน่นอน รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมอีกมากที่เป็นของแถมด้วย
อย่างไรก็ตามหากคุณได้เล่นเองนั้น คุณจะได้สัมผัสทั้ง “งานศิลป์” “บรรยากาศในเกมส์” “เสียงประกอบ” เป็นสิ่งทรงคุณค่าอีกอย่างที่คุณจะสามารถสัมผัสได้ต่อเมื่อคุณเล่นเอง (รวมถึงอารมณ์ของตัวละคร ข้อมูลปลีกย่อยอื่นๆ และการหนีสัตว์ประหลาด)
ดังนั้นวิธีการใช้งานที่ผมแนะนำคือ เล่นเกมส์ด้วยตัวเองให้ผ่านเป็นส่วนๆ แล้วกลับมาอ่านข้อมูลในส่วนนั้นๆให้เข้าใจมากขึ้น เช่น เมื่อคุณเล่นจบสถานี Upsilon ก็ให้มาอ่านเฉพาะส่วนของ Upsilon ให้เข้าใจเป็นส่วนๆไป ค่อยๆซึมซับเนื้อเรื่องไปพร้อมๆกับการเล่น โดยไม่รู้สึกว่าโดนสปอยเนื้อหาจนเกินไป
บทนำ (prologue)
“ความจริงนั้น คือสิ่งที่ต่อให้คุณไม่เชื่อ ก็ไม่อาจหลีกหนีจากมันพ้น”
Philip K. ♥♥♥
(ถ้าพิมพ์นามสกุลเต็มสตีมมันเซนเซอครับ กรำจริง)
Simon Jarrett รู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลมาบนหน้าผากเขา ขณะนั่งอยู่ในรถกับเพื่อนสาว (Ashley) Simon พยายามบอกอะไรบางอย่างกับ Ashley (คาดว่าจะสารภาพความในใจ แต่สาวแว่นคนนี้ดูไม่มีใจให้เท่าไหร่นัก?) ระหว่างนั้นมีเสียงโทรศัพท์เข้าจาก David Munshi ขึ้นมาขัดจังหวะพอดี Simon ยังไม่ทันพูดอะไรเพิ่มเติมก็มีเสียงรถชนสนั่นหวั่นไหว จน Simon สะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝันในห้องนอนของตัวเอง…
David Munshi โทรศัพท์มาเตือนเขาถึงนัดหมายวันนี้เกี่ยวกับการแสกนสมองและเตือนให้ Simon อย่าลืมดื่มยา Tracer fluid ก่อนออกจากห้อง ในห้องนี้เกมส์จะสอนเราควบคุมตัวละคร หยิบจับสิ่งของ เดินหาสำรวจรอบๆห้อง มีสิ่งของน่าสนใจหลายอย่าง แต่หน้าที่หลักเราคือ หายา Tracer fluid (ดูเหมือนจะ random ตำแหน่งขวดยาทุกครั้งที่ new game) เมื่อเจอยาให้กดคลิกซ้ายเพื่อดื่มแล้วจึงไปกดที่ประตูเพื่อออกจากห้อง
(Tracer fluid หมายถึงสารทึบรังสี ซึ่งการทำงานนั้น อาจเป็นสารที่ดูดซึมเข้าไปในเซลล์บางอย่างโดยเฉพาะ อย่างเช่น เซลล์ประสาท เวลาไปทำภาพถ่ายรังสีจะเห็นโครงข่ายระบบประสาทรวมถึงอาจทำให้ระบุบริเวณที่มีความเสียหายได้ / ปัจจุบันทางการแพทย์ก็มีเทคนิคเรียกว่า angiography โดยการฉีดสารเข้าไปทางหลอดเสือด พอไปทำ CT brain ก็จะเห็นโครงข่ายหลอดเลือด รวมถึงจุดที่ตีบ แตก รั่ว)
ในห้องมีอะไรให้กดนู่นนี่เล่นเยอะ ลองกดคอมพิวเตอร์อ่านเล่นก็ได้ แต่ที่น่าสนใจก็คือในลิ้นชักมีข่าวอุบัติเหตุของ Simon ระบุถึงอุบัติเหตุรถ SUV พุ่งชน คนขับ SUV แค่มีรอยพกช้ำ แต่ทาง Simon เกิดสมองกระทบกระเทือนถาวรและ Ashley เสียชีวิต
ระหว่างเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน Jesse เพื่อนร่วมงานของ Simon โทรมาพูดคุยเรื่องงานที่ร้านหนังสือ เรื่องลูกจ้างที่มาใหม่แทน Ashley และอวยพร(กึ่งแช่ง 555+) ให้ Simon หายไวๆ
Simon เดินทางมาถึงออฟฟิศตามนัดแต่ดันไม่เจอใครอยู่เลย แถมมองไปรอบๆมันยังตกแต่งไม่เสร็จเลยด้วยนี่หว่า? ด้วยความงงว่าทำไมฟอร์มกระจอกเช่นนี้ โทรหา Munshi แกก็ไม่รับ Simon เลยถือวิสาสะอ่านอีเมลล์ ค้นข้าวของ เพื่อหารหัสเปิดประตู
Pincode จดแบบกากๆไว้ในสมุดโน๊ตตรงลิ้นชัก (นี่นับเป็นปริศนาอันแรกของเกมส์หรือเปล่าหว่า?)
ในห้องด้านในสุดจะพบ Munshi และอุปกรณ์การแสกนสมองของพี่แก แม้ว่า Simon จะเรียกเขาว่า Dr.Munshi แต่แรกมาตลอด แต่พี่แกจะบอกว่าตอนนี้ยังไม่ได้เป็นด๊อกนะ กลับกัน brain scan นี่แหละคือ thesis จบของเขา หลักการคร่าวๆคือ เหมือนเป็นการถ่ายสำเนาของสมองไปเป็นข้อมูลดิจิตอล เพื่อทำการ run diagnosis ทดสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะได้การรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละรายที่สุด (ซึ่งการทดสอบนี้ทำในหลักมิลลิวินาที ถ้าไปทำในสมองคนธรรมดาหัวคงระเบิดไปก่อน)
จริงๆแกเป็นวิศวะคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่หมอด้วยซ้ำ ถ้าคุณอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากนิตยสารในลิ้นชักจะรู้รายละเอียดมากขึ้น เดี๋ยวผมค่อยเล่ายาวๆหัวข้ออื่นแล้วกัน
“มันก็แค่เจ็บพอๆกับถ่ายรูปเท่านั้นแหละ” สิ้นเสียง Munshi เครื่องแสกนสมองทำงาน และโลกของ Simon ก็พลันดับวูบลง….
บทสรุป part 1 (Upsilon+Shuttle station)
ฉับพลันทันใด Simon ไม่ได้ตื่นมาบนหวัน แต่ดันมาอยู่ในที่ๆเหมือนดั่งขุมนรก หลังจาก Munshi เดินเครื่องแสกนปุ๊บ โลกมือไปแป๊ปนึงแล้วก็มารู้สึกตัวบนเก้าอี้เหมือนเดิม แต่ไร้เงาหัว Munshi และสถานที่รอบๆนั้นเปลี่ยนไปหมด มันไม่ใช่ออฟฟิศที่เดิม แต่เป็นที่ไหนก็ไม่รู้ที่ไฮเทคกว่ามากและมีบรรยากาศหลอนๆ
วิธีออกจากห้อง ให้เอาอะไรโยนใส่กระจกให้แตกๆไป แล้วก็ออกไปเดินสำรวจข้างนอก
ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ Simon สามารถดึงข้อมูลสุดท้ายจาก data buffer มาฟังได้ เนื้อหาในนั้นเกี่ยวกับการอพยพและการปิดกั้นแต่ละส่วนของตึกซึ่งแกก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ จริงๆอันนี้มันความจริงหรือฝันหรือ VR พี่แกก็ยังสับสนอยู่เลย (คนที่คุยกันในนั้นคือ Carl และ Amy)
ปลด pneumatic seal แล้วเข้าห้องต่อไปจะเจอกับหุ่นหลอนๆบางตัวที่เหมือนจะยังทำงานได้ ตรงนี้นอกจาก data buffer แล้ว simon ยังดักข้อมูลสุดท้ายของหุ่นมาฟังได้ด้วย ขณะกำลังฟังอยู่หุ่นตัวที่ชักกระตุกอยู่ตอนแรกดันวิ่งลนลานออกจากห้อง พังประตูเปิดทางให้เราไปต่อ
ลองสังเกตดูรอบๆคุณจะเห็นสายระโยงระยางของเครื่องจักรสีดำลุกลามเกาะกินแทรกซึมไปทั่วตลอดทางที่คุณเดินไป แถมบางจุดก็มีของเหลวอะไรไม่รู้สีดำไหลเยิ้มไปตามที่ต่างๆ ตอนนี้คุณยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
สิ่งที่คุณรู้แล้วแน่ๆคือ ที่นี่คือ PATHOS-II สถานี Upsilon นี่น่าจะไม่ใช่ความฝันแต่ความจำมันก็มีแค่นั้น นึกไม่ออกเลยว่ามาที่นี่ได้ยังไง (ที่แกแสกนสมองกับ Munshi ตอนแรกอยู่ที่ Toronto แคนาดานะครับ)
สิ่งแรกที่คุณต้องหาคือ Omnitool (เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในเกมส์นี้ เพราะใช้เปิดประตูไปพื้นที่ต่างๆ เดินเครื่องจักรต่างๆ ตามคู่มือมันสามารถใส่ชิฟเพื่ออัพเกรดความสามารถได้ อันที่จริงมันก็ใช้ได้ตามที่เกมส์กำหนดบทไว้ล่ะนะ) ซึ่งอยู่ในห้องถัดไปพร้อมคู่มือ พอได้แล้วก็กลับมาห้องแรกอัพเดทใส่ tool chip ซะ คราวนี้เราก็เอาไปใช้เปิดประตูต่างๆได้แล้ว (ถ้าดูดีๆวันที่ในคอมจะระบุปีค.ศ. 2014 ได้ข่าวว่าไอ้ที่เราแสกนสมองเมื่อกี้มันปี 2015 นี่หว่า โอ้ววว? เรากระโดดข้ามเวลามา 100 ปีได้อย่างไร?)
เมื่อเปิดประตูมาเรื่อยๆคุณจะพบว่าไอ้ที่ๆเรียกว่า PATHOS-II มันอยู่ใต้ทะเลเว้ยเฮ้ย เดินไปเรื่อยๆคุณจะพบสิ่งหนึ่งหน้าตาเหมือนรูตูด (จริงๆมันคือ WAU node แต่ตอนนี้คุณรู้แค่มันแลดูคล้ายรูตูด แตะที่มันจะเพิ่มเลือดเราจนเต็มได้)
มาต่อเรื่อยๆจนถึงห้องควบคุมกังหันผลิตพลังงาน เปิดเครื่องซะไฟฟ้าจะกลับมาจ่ายตามปกติอีกครั้ง (ถ้าคุณดูสถานะการทำงานจากคอมนอกห้องจะพบว่า downtime คือ 143 วัน ! โอ้ มันเกิดอะไรขึ้นกับสถานที่แห่งนี้กันเนี่ย) เมื่อกังหันทำงาน ท่อน้ำเลี้ยงไหล บุคคลจากแดนไกลก็โฟนอินเข้ามา (คงงงว่าใครมันเปิดเตาผลิตพลังงานขึ้นมาใหม่) แตคุยกันไม่รู้เรื่องมากนักสัญญาณก็ดับวูบเหมือนใช้ 3G เมืองไทย เสียงตามสายแนะนำให้เราไปยัง comm center ที่อยู่ชั้นบน (ไม่ใช้ห้องคอมไว้ตีดอท แต่มันคือ communication center ศูนย์สื่อสารนั่นเอง)
ระหว่างทางก็มีหุ่นกากๆตัวที่เราพบตอนแรกนั่นแหละวิ่งไล่กินตับ ซ่อนดีๆไปตามทางบังคับก็หนีพ้นไม่มีอะไรยาก
ชั้นถัดมาเป็นจุดแรกที่คุยกับหุ่นได้ ซึ่งเริ่มทำให้คุณงงมากขึ้น เพราะหุ่นนั้นบอกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ชื่อ Carl semken เขาไปไหนไม่ได้ ได้แต่นอนขอความช่วยเหลืออยู่ ถัดไปไม่ไกลคุณจะพบศพที่เป็นมนุษย์ของ Carl semken นอนกองอยู่ แตะดูคุณจะพบว่าตัวคุณดึงข้อมูลสุดท้ายจากศพมาฟังได้ด้วยแฮะ ซึ่ง Carl ตายเพราะโดนหุ่นจู่โจมขณะกำลัง seal สถานีใกล้ครบ (ซึ่งหุ่นตัวที่ฆ่า Carl จะหันไปเล่นงาน Amy ต่อ แต่เธอทำลายหุ่นนั่นได้ด้วยอาวุธอะไรก็ไม่รู้ ซากหุ่นตัวนั้นกองอยู่ในห้องใกล้ๆ กดฟังเล่นได้) เอา ID ของ Carl ไป login เข้าคอมพิวเตอร์แล้วสั่งเปิดห้องแต่ละจุด ซึ่ง coms นั้นพิเศษหน่อยตรงที่ต้องสับสวิตช์ไฟฟ้า 2 จุดแล้วค่อยมาสั่งปลดล็อคบันไดขึ้น (ระหว่างนั้นก็มีหุ่นกากๆตัวเดิมมาป้วนเปี้ยน ให้เราฝึกหลบและย่องจนชินเป็นนิสัย)
ที่น่าสนใจในชั้นนี้ คือข้อมูลของสิ่งที่เรียกว่า “Blackbox” ซึ่งสิ่งนี้จะฝังไว้ในตัวคนและมันจะบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น อุณหภูมิกาย คลื่นสมอง ตำแหน่งที่อยู่(อู้งานไม่ได้สิเนี่ย) ฯลฯ ข้อมูลจะถูกส่งไปให้ระบบผู้ดูแล “WAU unit” (มาจาก warden unit ที่แปลว่าแบบกำปั้นทุบดินว่าหน่วยพัศดีนะครับ) เพื่อปรับอุณหภูมิในสถานีวิจัยให้เหมาะสม อนึ่งสิ่งนี้ก็เหมือนกล่องดำของเครื่องบิน ทำให้เราอ่านข้อมูลสุดท้ายที่เหลืออยู่จากศพมนุษย์ได้ (รู้ว่าตอนแตะครั้งแรกๆ คอการ์ตูนเก่าๆบางคนแอบคิดว่ามันคล้าย Psychometrer Eiji เหมือนผม 555+)
เมื่อขึ้นมาศูนย์สื่อสาร ลองดูที่กระดาน คุณจะรู้ว่าสถาบันวิจัยนี้สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือจากนานาชาติ และมีการติดต่อสื่อสารกับนานาประเทศ แต่ปัจจุบันการติดต่อมันหยุดไปหมดแล้ว เพราะเกิดหายนะอุกกาบาตขนาดใหญ่ตกใส่โลก ทำให้สถาบันแห่งนี้ถูกตัดขาดจากพื้นผิวโลกตั้งแต่เมื่อ 1 ปีก่อน(คือค.ศ.2013 ปัจจุบันค.ศ. 2014)
ใน Audio log 1 จะพูดถึงแผนการอพยพเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของ Upsilon ไปยังสถานี Theta แต่จะมีบางคนที่ถูกทิ้งไว้ให้ดูแลเตาผลิตไฟฟ้า (ซึ่งทั้ง 2 คนนี้คือ Carl และ Amy นั่นเอง ดังนั้นข้อมูลของ data buffer ในสถานีจึงเหลืออยู่เพียงแค่บทสนทนาของ 2 คนนี้)
Audio log 2 Carl และ Amy มาทักทายทาง Theta (ทั้ง 2 คนทราบแผนการอพยพและอยู่ด้วยความสมัครใจนะครับ)
Audio log 3 Carl ติดต่อ Strasky ขอโทรสายตรงหา Wolchezk เพื่อปรึกษาอะไรบางอย่าง แต่ทำไม่ได้เนื่องจากความห่วยของสัญญาณ
Audio log 4 การติดต่อครั้งสุดท้ายของ Carl ก่อน seal ศูนย์สื่อสาร
เนื่องจากระบบ LUMAR มันเจ๊งบ๊ง เราเลยต้องมานั่งจูนคลื่นไปยังสถานีที่เราต้องการติดต่อเอง ซึ่งผู้หญิงที่ชื่อ Catherine อยู่ที่ Lambda (แต่จะลองจูนมั่วๆไปสถานีอื่นเพื่อฟัง”สิ่งที่น่าสนใจ”ได้)
เมื่อติดต่อได้เราจะเริ่มยิงคำถามมากมายก่ายกองด้วยความสับสนเป็นอย่างมาก คุยไปได้ไม่นานกระจกโดมจะแตกจนน้ำไหลเข้ามาท่วมห้องจนหมด สิ่งสุดท้ายที่เธอบอกคือให้ขึ้นกระสวยมาหาเธอที่ Lambda แล้วเธอจะตอบสิ่งต่างๆให้เท่าที่เธอพอตอบได้
ตรงนี้เราจะเริ่มรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างของร่างกายเราอย่างชัดเจน เพราะเราหายใจใต้น้ำได้และยังเดินไปมาได้อิสระ ก็เดินออกจากห้องลัดเลาะใต้ทะเลไปจะเจอหุ่นสีแดง เอ่ยปากขอ “Structure gel” สีดำ(หยั่งกะขอทาน) ก็รีบๆเดินหนีจนมาเจอหุ่นจิ๋วอีกตัวโดนหินทับ ให้ยกหินขึ้น หุ่นจะติดตามเราไปด้วย
เมื่อถึง Shuttle station B หุ่นจิ๋วจะปลดล็อคประตูให้(น่ารักจริงๆ) เมื่อเราเข้ามาจะพบว่าสถานที่นี้ไฟดับอะ
เดินเข้ามาที่คัทเอาท์ข้างในจะพบ Amy เธอบอกว่ากำลังจะหนีไป Theta แต่ประสบอุบัติเหตุขณะซ่อมไฟ ไอ้เครื่องจักรสีดำก็คอยห่อหุ้มประคองชีวิตเธอไว้ไม่ให้ตาย อืม… สิ่งที่คุณต้องทำก็คือปลดปล่อยให้เธอพ้นความทรมาน ดึงสายไฟออกจากคัทเอาท์หลัก ไฟจะกลับมาทำงาน
เมื่อคุณเข้ามาในกระสวยก็สับสวิตเดินทางได้ ตอนเลือกจุดหมายปลายทางจะมีสถานีให้เลือกขึ้นมาหลายอัน (ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกอันไหนก็ไม่ต่างกัน เลือกๆไปเหอะ)
ขณะเดินทางจะมีวีดีโอแนะนำศูนย์วิจัยขึ้นมาให้ชม คุณจะรู้ว่าที่นี่มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศต่างๆมาทำงานร่วมกันหลายคน โดยมีเทคโนโลยีที่น่าทึ่งคือ Omega space gun ซึ่งใช้ยิงส่งของไปอวกาศ (ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงเหลวแบบเดิมซึ่งเสี่ยงต่อการระเบิดและสิ้นเปลือง cost มากๆ)
ไปได้ไม่ไกลกระสวยก็ตกรางเนื่องจากตัวรางเสียหาย Catherine โฟนอินมาบอกว่าเราอยู่ใกล้ Lambda มาก ให้ออกไปทางช่องซ่อมบำรุง เดินลัดเลาะใต้ทะเลหลบหุ่นสีแดง สุดท้ายคุณก็จะมาถึงสถานี Lambda
บทสรุป part 2 (Lambda+CURIE)
Simon เข้ามาในสถานี Lambda เพื่อตามหา Catherine เดินเข้ามาไม่ทันไรคุณจะได้ยินเสียงเธอโดนโจมตีโดยมอนสเตอร์แปลกๆ(ที่เหมือนตาแก่พุงพลุ้ยมีหลอดไฟสีฟ้าติดเต็มหัว) เมื่อเราเดินเข้าไป Catherine จะบอกให้เรา”อย่าไปมองมัน” เมื่อเราหลบอยู่สักพักโดยไม่มองมันก็จะหายไป
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เราจะพบว่า Catherine เป็นหุ่นยนต์ (แถมรูปร่างหยั่งกะ AT-Walker ใน Star Wars อีก) Simon จะรู้สึกสิ้นหวังอย่างมากเมื่อรู้ว่าสุดท้ายเขาก็ยังไม่เจอมนุษย์สักคน พอพูดไปดังนั้น Catherine ก็ย้อนมาว่าให้เราดูสภาพตัวเองก่อนเถอะว่าเหมือนคนอ๊ะป่าว ถ้านายไม่เคยคิดเรื่องนี้ ตอนนี้ก็ควรจะคิดได้แล้ว เธอขอให้ Simon ช่วย ซึ่งเราก็ตอบไปแกมประชดทำนองว่า ถ้าคิดว่าตูซ่อมหุ่นได้ ป่านนี้สร้างไทม์แมชชีนกลับไปแล้วเฟ้ย แต่สรุปว่า Catherine ให้ Simon เอา cortex chip จากหุ่นยนต์ซึ่งบันทึกสติสัมปชัญญะของเธอ ใส่ลงไปใน Omnitool แล้วเอาไปเสียบที่แผงคอนโซล
สรุปว่าเรื่องที่เธอจะให้เราช่วยก็คือ ให้เราหาเบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้นกับงานวิจัยของเธอ “Project ARK” ซึ่งเธอเน้นย้ำว่าสำคัญมาก เธอจะปลดล็อคประตูเพิ่มเติมให้เรามองหาเบาะแสเพิ่มเติมในสถานี Lambda
ในห้องใกล้ๆ ดูในคอมจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ ARK ให้เราศึกษา (ไม่ใช่ ARK survival evolved แน่ๆ) เราจะได้ทราบว่ามันคือโปรเจคที่นำข้อมูลแสกนสมองของคนมากมาย บรรจุใส่ไปในโลกเสมือนจริง และยิงขึ้นไปในอวกาศ (ยิงจากสถานี Phi โดยใช้ Omega space gun วงโคจรที่กำหนดอยู่ระหว่างดาวศุกร์กับโลก โดยเครื่อง ARK อยู่ได้ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์) โดยโลกเสมือนจริงที่ออกแบบไว้ ก็สวยงามราวกับสรวงสวรรค์
ภาวะสิ้นหวังจากดาวหางชนโลก และมวลมนุษยชาติเกือบสูงสิ้นเป็นตัวผลักดันให้โปรเจค ARK เป็นที่น่าสนใจในหมู่เจ้าหน้าที่ของที่นี่มาก ในคอมมีบทสัมภาษณ์ของคน 3 คน
– Robin Bass มองว่าเห็นด้วย ลองดูก็ไม่มีอะไรเสียหาย
– Ian Pedersen เห็นด้วย แต่สงสัยว่าการปฏิบัติจริงมันจะง่ายเช่นนั้นหรือ
– สุดท้ายตาแว่น Mark Sarang(เฮโย) แกเห็นด้วยอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู และลงท้ายคลิปโดยอ้างอิงถึงเรื่อง “ความต่อเนื่อง” (Continuity) ซึ่งผมจะขยายความทีหลังแล้วกัน
อนึ่ง Ark เป็นชื่อของเรือของโนอาห์ โดยอ้างอิงจากเรื่อง Noah’s Ark ซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม เรื่องของเรื่องก็คือ พระเจ้าจะรีเซตโลกโดยกำหนดให้น้ำท่วมโลก โนอาห์เป็นคนดีจึงได้รับพันธกิจจากพระเจ้าให้ต่อเรือลำใหญ่แล้วบรรทุกครอบครัว สัตว์อย่างละคู่ และเสบียงอาหาร หลังจากนั้นเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง 40 วัน น้ำท่วม 150 วันและรอน้ำแห้งอีก 150 วัน สุดท้ายเรือไปจอดที่ภูเขาอารารัต โนอาห์และครอบครัวก็ดำเนินชีวิตต่อไป สุดท้ายพระเจ้าได้ประทานรุ้งกินน้ำให้เป็นสัญญาว่าน้ำจะไม่ท่วมโลกอีก
เล่นมินิเกมแสกนหา ARK (ทำไมแสกนในอวกาศไปดาวอื่นแล้วได้ข้อมูลกลับมาเร็วขนาดนั้นฟะ) สุดท้ายคุณจะพบว่ามันอยู่ที่สถานี Tau นี่เอง จุดนี้ทำให้ Catherine เป็นกังวลอย่างมาก เพราะตามแผนการเดิม ARK ควรจะถูกส่งไปอวกาศตั้งแต่เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาแล้ว นี่ทำให้เธอจิตตกเล็กน้อย แถมยังเป็นกังวลเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ARK และตัวเธอเองก็อยู่ใน cortex chip ไม่มีร่างกายที่จะเดินไปเดินมาได้อีกต่างหาก
ณ.จุดนี้ Simon เมื่อเข้าใจโครงการ จึงอยากให้แสกนของเขาถูกบรรจุไปกับ ARK ด้วย จึงอาสาตัวโดยให้ Catherine นำทางไปยัง ARK โดยเขาจะเสียบเธอไว้กับ Omnitool และถือไปด้วย (แปลกดี มันจะมีสักกี่เกมส์ที่พระเอกต้อง”ถือ”นางเอกเดินไปเดินมาตลอดทั้งเรื่อง ==”) เธอตกลงและบอกแผนการกับ Simon ให้เดินทางไปยัง Theta เพื่อใช้เรือดำน้ำลึก “DUNBAT” ไปยัง Tau
ประเด็นคือจะไป Theta ยังไง? Simon ตอบว่าเขาเจอเรือดำน้ำอยู่หน้า Lambda แน่ะ ลองไปดูกันเถอะ เมื่อมาถึงเรือดำน้ำก็เสียบ Catherine ลงไป เธอลองเดินเครื่องดูแล้วบอกว่าลำนี้มันพังแล้ว(เฟ้ย) แต่ได้ข้อมูลมาว่านี่คือเรือฉุกเฉินจากเรือ CURIE ซึ่งเคยวิ่งอยู่ระหว่าง Lambda กับ Lisbon (โปรตุเกส) ดูเหมือนมันจะจมใกล้ๆนี้ จึงเป็นหน้าที่เราต้องเดินหาซากเรือ เพื่อเอาเรือดำน้ำลำใหม่มาใช้
ระหว่างเดินไปมาใต้ทะเลจะมีตาแก่พุงพลุ้ยโผล่ออกมาแซวเป็นระยะ ในที่สุดคุณก็เจอซากเรือ CURIE
เดินไปเรื่อยๆคุณจะพบป้ายบอกว่าเรือฉุกเฉินอยู่ไหน ซึ่งก็ต้องคอยหลบตาแก่พพ.ในเรืออีก
เจอเรือปุ๊ปเสียบ Cath ลงไป เธอจะบอกว่าลำนี้สภาพดีใช้ได้แน่ๆ แต่พอจะลองติดเครื่องดู เรือกลับติด Safety lock เพราะเป็นเรือฉุกเฉิน จึงใช้ได้เฉพาะสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น (เธอบ่นๆด้วยว่า เรือมันจมมานอนแอ้งแม้งอยู่ก้นทะเลนี่มันยังไม่ถือว่า”ฉุกเฉิน”อีกเรอะ ต้องให้ฉุกเฉินขนาดไหนฟะ?) ดังนั้น Simon จึงต้องออกไปที่เตาพลังงานและทำให้เรือนี้อยู่ในสถานการณ์”ฉุกเฉิน”จริงๆ
ระหว่างทาง คุณจะพบว่าเรือ CURIE ถือเป็นพยานในการเกิดเหตุการณ์ดาวหางชนโลก มีบรรยายไว้ว่าพื้นผิวโลกถูกทำลายสิ้น ไม่มีอะไรหลงเหลือ นอกจากไปที่ลุกท่วมขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อไปถึงเตาพลังงาน คุณจะพบว่า WAU เจ้าเก่านี่แหละกำลังดูดพลังงานอยู่ แต่มันเป็นตัวที่ทำให้เตายังทำงานสมดุลอยู่ได้ คุณก็ทำลายสมดุลของเตาพลังงานซะโดยการดึงปลั๊กของ WAU ออก
เมื่อดึงออก 3 สาย เราจะโดนเตาซ็อตกระเด็นล้มลง มีเสียงประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร(ไม่ใช่ละ) ทันใดนั้นพพ.ก็ปรากฎ ให้รีบวิ่งหน้าตั้งหนีไปเรือดำน้ำได้เลยจ้า
เมื่อเรามาถึง Cath จะนำเรือออก Simon ถามถึงพวกสายไฟระโยงระยางที่เจอ เธอจะตอบว่านั่นคือ WAU ล่ะ ซึ่งเป็นระบบ AI ที่คอยควบคุมทุกสถานี แต่ทำงานผิดพลาดและประพฤติตัวคล้ายพวกเซลล์มะเร็ง (ไว้ผมจะขยายความเรื่องนี้อีกที) ทันใดนั้นเกิดแรงสั่งสะเทือนขึ้น “ดูเหมือนการสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินของนายจะได้ผลเกินคาด”
เรือดำน้ำยังไม่ทันแล่นออกไปไกล เตาปฏิกรณ์ใน CURIE ก็เกิดระเบิด แรงระเบิดผลักเรือดำน้ำกระเด็นออกจากที่ราบไปยังก้นมหาสมุทรอันมืดมิด
“ถ้าเราไม่ตกลงที่ Delta พวกเราตายแหง” สิ้นเสียง Cath ตะโกน เรือก็กระแทกพื้นอย่างจังและโลกของ Simon ก็ดับวูบลง
บทสรุป part 3 (Delta)
Simon ตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าเรือดำน้ำจอดนิ่งสนิท ประตูเปิดไม่ออก แต่มีหุ่นยนต์จิ๋วมาช่วยเปิดประตูให้ (ไม่รู้ตัวเดียวกับที่เราช่วยไว้ที่ Upsilon หรือเปล่า แต่ถ้ามาจาก Upsilon จริงนับว่ามาไกลมาก แถมยังต้องข้ามเหวมา Delta อีกตะหาก)
เมื่อเราออกมาข้างนอกจะพบว่าเรามาตกลงที่สถานี Delta พอดี ซึ่งถ้าไม่เป็นเพราะ Cath ควบคุมเรือดำน้ำได้ดี ก็ต้องเป็นเพราะโชคช่วยจริงๆ เพราะตามแผนที่หากคุณจำได้สถานี Delta ถือว่าเป็นสถานีแห่งเดียวที่อยู่แยกจากสถานีอื่นบนที่ราบทะเล โดยมันถูกล้อมรอบด้วยเหวลึก ต้องไปมากับสถานีอื่นผ่านทางกระสวยและเรือเหาะยกของ ตัวสถานีแยกเป็นอาคารย่อยๆเล็กๆน้อยๆหลายอาคาร
เริ่มต้นมาคุณจะเจออาคารส่งสัญญาณที่ใกล้จุดตกของเรือที่สุด ปีนบันไดขึ้นไปจะพบศพของ Maggie Komorebi หากฟังข้อมูลจากศพรวมถึงรูปในไอแพต(เพื่อความสะดวกขอเรียกมันว่างี้ละกัน) คุณจะรู้ว่าทีมของเธอถูกจู่โจมโดย “Akers” เธอมาที่เสาสัญญาเพราะพยายามสื่อสารไปหา Strasky เพื่อแจ้งเตือน Theta ว่า Akers นั้นกำลังขึ้นเรือเหาะมุ่งหน้าไปหา อนิจจา สัญญาณ LUMAR มันกากระดับ 3G เมืองไทย Strasky จึงฟังที่เธอพูดไม่รู้เรื่อง
Delta นั้นมีอาคารเล็กๆที่เราเข้าไปได้แค่ 3 อาคาร
1. อาคาร HQ อยู่ใกล้เรือเหาะที่สุด เข้าไปข้างในจะพบคอมพิวเตอร์หากอ่านเมลล์ดูคุณจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ นั่นคือ Dorian Cronstedt (หัวหน้าฝ่ายธุรการ/บริหาร) ได้ส่งอีเมลล์มาหา Terry Akers (หัวหน้าสถานี Delta) แจ้งว่าให้เตรียมตัวย้ายไปยัง Theta แน่นอนว่าจะมีการจัดสรรกำลังคนใหม่และ Akers จะโดนลดตำแหน่ง Akers ตอบกลับอีเมลล์ว่าไม่ยอมย้าย Dorian ให้ Akers อยู่ที่นั่นได้แต่ลูกทีมทั้งหมดของเขาจะถูกย้ายออกจาก Delta ต่อมา Strasky อีเมลล์แจ้งมาว่าการย้ายทีม Delta เป็นไปด้วยดี และหาก Akers ต้องการย้ายมา Theta ขอให้แจ้งเขาได้ทุกเมื่อ ส่วนฉบับสุดท้าย Strasky ส่งมาเพื่อสุขสันต์วันคริสมาสต์
2. อาคารใกล้เสาวิทยุปรับได้ (อาคารนี้ไม่ต้องให้หุ่นจิ๋วช่วยแงะให้) เมื่อเข้าไปคุณจะพบสภาพห้องเละเทะเลือดสาดกระจาย มีรอยเลือด(หรือ structure gel?)เขียนตามผนัง แถมมีลูกตาคน 1 คู่กองอยู่บนพื้นอีก (เชื่อว่าหลายๆคนเข้ามาตอนแรกคงคิดว่า นี่มันห้องเชี้ยอะไรฟร้าาา)
– ที่กำแพงอันนึงเขียนว่า : แสงมันทำให้ฉันปวดตาเหลือเกิน “เขา”บอกว่าฉันไม่ต้องการลูกตาพวกนั้นเพื่อที่จะมองเห็นการชำระล้างบาป ฉันจึงควักมันออกมาด้วยความยินดี เพื่อที่มันจะได้ไม่มารบกวนภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์
– กระดาษโน๊ตเขียนว่า : มันน่าตื่นเต้นที่ได้เฝ้ามอง WAU ค่อยๆยึดครอง Delta เมื่อครึ่งปีก่อนฉันยังเป็นกังวลอยู่ ต้องคอยให้ Goya และ Wan คอยล้างเลือดสีดำ(structure gel)ออกจากเครื่องจักร ณ.ตอนนี้เปลือกนอกของมันดูเหมือนเป็นเพียงส่วนประกอบ Delta นั้นเปล่งประกายยิ่งกว่าที่มันเคยเป็น
– กำแพงอีกอันเขียนว่า : ฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเงาสะท้อนของตัวฉันบนเลือดสีดำ ฉันต้องช่วยพวกเขา(เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ)จากนรกแห่งนี้ ต้องขังพวกเขาให้หลับไหลอยู่ใน Lucid dream ที่ฉันเคยเห็น (Lucid dream ผมไม่รู้จะแปลเป็นไทยอย่างไร ถ้าบอกว่าเป็น”สภาวะฝันรู้ตัว” ไม่รู้จะเข้าใจกันไหม โดยทั่วไปความฝันปกติไม่ว่ามันจะออกมาประหลาดอย่างไรเราก็ไม่เคยสงสัยมันเลย แต่ในภาวะฝันรู้ตัว มันคือ”ความฝันที่เรารู้ว่าเป็นฝัน” ดังนั้นเราจึงควบคุมฝันนั้นๆให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการได้ โดยส่วนตัวตลอดชีวิตของผู้เขียนเคยฝันแบบนี้และตื่นมาจำได้แค่ 1 ครั้งเท่านั้น)
สรุปว่านี่คือห้องของ Akers และในช่วง 4 เดือนที่เขาอยู่คนเดียว เราไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าตาแก่นี่อาจเริ่มจากสัมผัส structure gel ต่อมาอาจดื่มและสุดท้ายก็ฉีดเข้าตัวเอง ไม่ทราบว่า gel เป็นสื่อกลางทำให้แกรับทราบเจตจำนงค์ของ WAU หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ gel ทำให้แกกลายพันธุ์ ประสาทหลอน ควักลูกตาตัวเอง และคิดจะกลับไปจับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆขังเอาไว้ในโลกเสมือนของ WAU
(ทำไมปล่อยทิ้งเอาไว้คนเดียวตั้ง 4 เดือนฟะ ได้ข่าวว่า Theta และ Delta ห่างกันแค่นั่งเรือเหาะไม่ถึงนาทีก็ถึง ฝั่งนู้นมีคนหลายสิบคน แล้วคนอื่นๆมันยุ่งมากเลยเรอะ แค่นั่งมาทักทายสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้งทำไมไม่มีใครคิดจะทำ คนเราถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้คนเดียวในสถานการณ์ที่ผิดปกติ ความโรคจิตย่อมครอบงำ)
3. อาคารที่เหลืออีกอัน มีศพของ Shawn Evans แตะดูจะทราบเรื่องว่าแกโดน Akers จู่โจมจนบาดเจ็บสาหัส แถมแกเห็น Akers ฉีด “that ♥♥♥♥”(คาดว่าเป็น structure gel สีดำนั่นแหละ) ใส่ลูกทีมที่มารับคนอื่นอีกตะหาก วิทยุที่นี่เสียมานานแล้วทำให้เตือนคนอื่นๆที่ Theta ไม่ได้ ในคอม Komorebi จะพยายาม override เข้าไปควบคุมเรือเหาะแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายเธอที่บาดเจ็บตัดสินใจรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเดินทางไปยังเสาสัญญาณ LUMAR ซึ่งพอติดต่อได้เล็กน้อย แต่ Strasky ไม่ได้ยิน และเธอก็ม่องอยู่ตรงนั้น
ในคอมที่ใช้เรียกเรือเหาะมี Audio log แค่ 2 อัน อันแรกคือ Brandon Wan ติดต่อหา Strasky ในวันที่จะย้ายไป Theta แจ้งว่าลูกทีมทั้งหมดยกเว้นหัวหน้า Akers พร้อมจะย้ายไปแล้ว (แกเรียก Akers ว่าตาแก่หัวดื้อด้วย) อันที่สอง Akers เรียกไปหา Strasky ว่าตูเปลี่ยนใจละ ขอย้ายไป Theta หน่อยสิ Strasky ดีใจ(กึ่งประหลาดใจมาก)เพราะตั้งแต่ที่ลูกทีมอพยพเมื่อ 4 เดือนก่อน Akers ไม่เคยติดต่อกลับมายัง Theta เลย Strasky บอกว่าจะแจ้งไปยังทีมที่ปฏิบัติงานอยู่ที่ Lambda เผื่อว่าตอนนั่งเรือเหาะขากลับจะให้แวะไปรับ Akers กลับมาด้วย Akers รับทราบและบอกว่าเขาจะรอ”ต้อนรับ”ทีมที่มาอย่างดี
สรุปคือปูเรื่องมาขนาดนี้ ผมว่าผู้เล่นหลายๆคนคงนึกในใจแล้วแหละ ว่าต่อให้คุณไม่อยากยังไง เกมส์ก็จะจับให้คุณไปเจอกับ Akers ที่ Theta อยู่ดี
แก้ปริศนาเล็กน้อย โดยหันเสาวิทยุ(อยู่หน้าห้องของ Akers) ปรับให้ตรงกับเสาที่ต้องการ กดเลขเพื่อจูนเครื่อง ติดปุ๊บก็วิ่งกลับมาคอมที่ใช้เรียกเรือเหาะแล้วกด Request transport จากเรือเหาะหมายเลขที่ต้องการซะ
(ตรงนี้ถ้าคุณหมุนเสาไปสีแดง แล้วกด echo คุณจะได้สื่อสารกับ “Alan” บุคคลที่หายสาบสูญ ตอนนี้คุณยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร)
เมื่อเรือจอดปุ๊บเสียบ Cath ลงไป เธอจะบอกว่า tool chip มันเจ๊งไปแล้ว คุณต้องไปจิ๊กเอามาจากหุ่นยนต์แถวนั้นนั่นแหละ Simon บอกไม่อยากทำอะ แต่เธอก็ยืนยันว่าถ้าไม่ทำเราก็ติดแหงกอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ พร้อมกับเปิดกล่องนิรภัยให้เราหยิบปืนไฟฟ้าให้เราไปเลือกยิงหุ่นยนต์แถวนั้น
จริงๆแล้วตรงนี้คุณเลือกได้ว่าจะยิงเจ้าหุ่นสีเหลืองที่ลอยไปมา หรือจะยิงหุ่นจิ๋วที่คอยช่วยเราเปิดประตูก็ได้ แต่เนื่องจากหลายๆคนผูกพันกับหุ่นจิ๋ว หุ่นเหลืองเลยกลายมาเป็นเหยื่อแทน ยิงปุ๊บมันจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วพยายามหนี ให้ไล่ยิงประมาณ 3 ทีมันจะตกลงมาฟัง แล้วเราก็จิ๊ก tool chip ไปให้ Cath
อื่นๆที่ไม่ต้องรู้ก็ได้
– หุ่นเหลือง เป็นหุ่นที่เล่นหมากรุกกับ Akers บางครั้งมันจะพูดทำนองว่า”ฉันจะไม่เล่นหมากรุกกับนายอีกแล้ว Akers”
– หุ่นจิ๋ว จากเดิมที่คอยตามเรา มันจะตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเราฆ่าหุ่นเหลือง โดยถ้าเราเดินไปใกล้มันจะส่งเสียงตื่นกลัวขึ้นมา แล้วรีบหนีไปตั้งหลักมองเราจากระยะไกล
– ทันทีที่ได้ tool chip มา Simon จะโยนปืนทิ้งตรงนั้นทันที(เก็บอีกไม่ได้) รู้ทั้งรู้ว่าต้องไปยัง Theta ที่มี Akers อยู่ แล้วไอ้นี่ดันไม่คิดจะเก็บอาวุธไว้ป้องกันตัวเผื่อฉุกเฉินเลย??? คิดไปคิดมาก็ไม่เห็นจะสมเหตุผล (แต่ก็เอาเห๊อะ มันเป็นสคริปเกมส์อยู่แล้วที่ให้เราต้องหลบอย่างเดียว ทีมพัฒนาตั้งใจให้เราสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นก็อย่าคิดหาเหตุผลเลย)
เมื่อไปถึงเรือเหาะ ใส่ tool chip เดินเครื่องเรียบร้อย เรือเหาะจะพาเราค่อยๆข้ามเหวทะเลไปยัง Theta ระหว่างนั้นจะมีบทสนทนากับ Cath โดย Simon จะรู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่ไปฆ่าหุ่นยนต์ Cath จะปลอบให้เราอันที่จริงในยามปกติเธอก็คงเห็นใจ แต่อย่าลืมว่าที่เราต้องทำเพราะมันจำเป็น ตรงนี้ Simon เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าหุ่นนั่นกับเรามันต่างกันตรงไหน เขาเริ่มยอมรับทีละน้อยว่าตัวเองก็ไม่ใช่มนุษย์ แต่มันเป็นเรื่องที่แปลกดีที่เขายังพูดได้ทั้งๆที่ไม่มีปาก ยังฟังได้ทั้งๆที่ไม่มีหู Cath อธิบายว่าที่นายยังรู้สึกทุกอย่างเหมือนมนุษย์ในตอนนี้ เพราะจิตใจของนายพยายามเขียนทับความจริงที่นายเป็นตอนนี้และรับรู้โลกรอบตัวในแบบที่มันเคยเป็น (จริงๆมีประเด็นอีกแต่พิมพ์เยอะจนหน้ากระดาษไม่พอ)
และแล้วเรือก็มาถึง Theta…
บทสรุป part 4 (Theta-1)
Simon และ Cath โดยสารเรือเหาะมาจนถึง Theta จนได้ ลองสำรวจบริเวณรอบๆก่อนเข้าดู
– Data buffer อันใกล้เรือเหาะ จะบันทึกเรื่องที่เจ้าหน้าที่พยายามช่วยกันลำเลียง Akers ในสภาพโคม่าไปยังห้องพยาบาล เดาว่า Akers มีรอยบาดแผลและเลือดท่วมตัว(ว่าแต่เลือดนั่นมันเป็นของใคร?) ตรงนี้ก็สื่อให้เห็นว่า Akers เริ่มมีการกลายพันธุ์แปลกๆแล้ว Strasky ถามหาทีม Komorebi แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ไหน
– Data buffer อันใกล้ประตู John Strohmeier (หัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัย) มาประกาศให้เจ้าหน้าที่ทุกคนอย่าฆ่าตัวตาย แค่นี้ทุกคนก็สิ้นหวังกันเกินพออยู่แล้ว อย่าให้เพื่อนร่วมงานต้องมานั่งเก็บศพคุณอีกเลย
หุ่นยนต์ที่นอนกองอยู่หน้าสถานี บอกว่าตัวเองคือ Robin Bass เจ้าหน้าที่เทคนิคภาคสนาม (เป็นคนในบทสัมภาษณ์แรกที่คุณฟังที่ Lambda) เธอเล่าว่าตัวเองน่าจะฆ่าตัวตาย(แปลว่าเธอมีความคิดแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนแสกนแล้ว)เพราะเธอเชื่อเรื่อง”Continuity”ของ Mark Sarang เธอจะถามว่าที่นี่คือ ARK หรือและคนอื่นๆอยู่ไหนกันหมด Simon เลี่ยงที่จะตอบความจริงว่านี่ไม่ใช่ ARK และเธอนอนอยู่เดียวดายก้นมหาสมุทรอันมืดมิด สุดท้ายคุณมีทางเลือกว่าจะปล่อยเธอไว้อย่างนั้นหรือไปดึงปลั๊กให้เธอม่องๆไป
เปิดประตูปุ๊บเข้ามาข้างใน ที่นี่เป็นสถานีหลักจึงใหญ่โตมาก แต่ตอนนี้มันเงียบเหงาวังเวงไร้เงาเจ้าหน้าที่คนอื่นๆจริงๆ คุณจะมองเห็นห้องนึงกระจกแรกร้าว โยนของใส่ให้แตกเหมือนเดิมแล้วเดินเข้าไปจะมีคอนโซลให้เสียบ Cath
Cath จะพบเรือ DUNBAT ยังอยู่ก็จริง แต่มันโดน quarantine (กักกัน, ระงับการใช้งานประมาณนั้น) และโดนเข้ารหัสรักษาความปลอดภัยเอาไว้ เป็นไปได้ว่าลูกทีมที่ไปส่ง ARK เดิมจะไปยัง Phi ด้วย”เส้นทางอื่น” เธอจะเปิดประตูห้องให้เราสำรวจเพิ่มเติม หลักๆคือให้ Simon หารหัสรักษาความปลอดภัย
ในคอมอีกตัวจะแสดงแผนผังของที่นี่ ซึ่งมีสามชั้นและถือว่าใหญ่โตมาก โดย blackbox จะไปกองรวมกันอยู่ที่ชั้น 2 และ 3 ซึ่ง Cath บอกว่ามันน่าแปลกมากว่าทุกคนจะไปรวมกันชั้น 3 ทำไม แถมไม่มีคนอยู่ใน living quater ในชั้น 1 ด้วย หรือจะไปรวมกันใกล้กระสวยเผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน? อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เลย
ห้องน้ำใน living quater เข้าห้องน้ำไปส่องกระจก ตอนนี้ Simon จะได้เห็นตัวเองในกระจกครั้งแรก (Lambda กระจกในห้องน้ำแตก Delta หาห้องน้ำไม่เจอ)
ที่นี่คุณสามารถสำรวจห้องของลูกทีมบางคนได้ โดยเฉพาะห้องของคนที่ฆ่าตัวตายที่ถูกปิดด้วย pneumatic seal ห้องที่พอมีของให้สำรวจได้แก่ห้องของ Guy Konrad, Mark Sarang, Robin Bass ส่วนห้องของ Martin Fisher ไม่มีอะไรให้สำรวจนอกจาก WAU node
แถมห้องของ Catherine เองก็เปิดให้คุณเข้าไปสำรวจได้ ถ้าเข้าไปคุ้ยนู่นนี่ เธอก็จะบอกว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกจะเข้ามาค้นห้องช้านทำมาย ลองหยิบของต่างๆเพื่อฟังบทสนทนาเพิ่มเติมได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอสามารถล็อคและปลดล็อคประตูได้ ถ้าไม่อยากให้เข้ามา ทำไมไม่ล็อคห้องตัวเองไว้ หรือมันไม่ได้ล็อคแต่แรก 555
ห้องที่น่าสนใจคือของ Mark Sarang คุณจะเจอจดหมายลับจาก Carthage Industries ทำให้คุณทราบว่าเขากับอีก 2 คน คือ Julia Dahl, Johan Ross เป็นพนักงานของที่นั้น และมีภารกิจลับในการศึกษาและทดลอง WAU โดยมี Johan Ross เป็นตัวหลัก
ที่กำแพงมีแผนที่ของ PATHOS-II โดย Mark แกโน๊ตเรื่องการแพร่กระจายของ WAU เอาไว้
บนโต๊ะมีจดหมายลาตาย ระบุว่าเขาอมหมากฝรั่งผสมไซยาไนด์เอาไว้ตอนแสกน เพื่อที่จะได้ฆ่าตัวตายทันทีที่ Cath ประกาศว่าการแสกนสมองเสร็จสิ้น เขาบอกว่าทุกคนอย่าเสียใจไปเลย เพราะเขาคือผู้ชนะ แถมยังแนะนำคนอื่นให้ฆ่าตัวตายตามด้วย
นอกจากนี้ในลิ้นชักมี Audio log อัดเสียง Mark ซึ่งแกจะพล่ามเรื่อง Continuity ที่แกเชื่อเอาไว้
ขยายความนิด เรื่องของ”ความต่อเนื่อง” (Continuity) ที่แกพูดถึง ทันทีที่ Cath ทำโปรเจค ARK ออกมา Mark ได้เสนอแนวคิดประหลาด ตามปกติการแสกนสมองจะทำให้เราแยกออกจากกันเป็น 2 คน คือมนุษย์ตัวจริงและข้อมูลตัวตนเราในรูปแบบดิจิตอล แกเชื่อว่าถ้าหากฆ่าตัวตายทันทีหรือในเวลาไล่เลี่ยกับที่แสกนสมองเสร็จหมาดๆ ร่างมนุษย์จะตายไปและคุณจะสามารถย้ายไปเป็นตัวสำเนาดิจิตอลทำให้เข้าสู่ ARK ได้ แนวคิดแปลกๆนี้ได้รับการถกเถียงอย่างกว้างขวางในหมู่เจ้าหน้าที่ของที่นี่ คนที่เลือกเชื่อทางฝั่ง Mark ก็ฆ่าตัวตายตามกันไปเรื่อยๆ (แต่โดยส่วนตัว Cath ไม่เชื่อแนวคิดนี้) (ส่วนตัวผู้เขียนก็ไม่เชื่อ แต่แนวคิดนี้น่าจะมีพื้นฐานจากความเชื่อในเรื่องวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด)
ห้อง Robin Bass มีเลือดสาดกระจาย เพราะเธอฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือตัวเอง (ถ้าไม่มีมีดโกนตกนี่หยั่งกะสำลักน้ำมะเขือเทศตาย เลือดจะเยอะไปไหน) ดูรูปที่เธอระบายสีจะพบว่าเธอคาดหวังกับโครงการ ARK ไว้มาก จดหมายลาตายบนโต๊ะบอกว่าไงๆพวกเราก็ตายอยู่ดี ดังนั้นเธอขอเลือกที่จะเชื่อใน Mark และ Continuity
ชั้นบนเป็นห้องทำงานของ Cath ซึ่งมีเก้าอี้ pilot seat ซึ่งเดิมใช้ฝึกควบคุมหุ่นยนต์ แต่ปัจจุบันเธอเอามาใช้เพื่อการแสกนสมองตามโปรเจค ARK
สุดท้าย Simon จะพบว่าตัวเองคือหนึ่งใน legacy scans ซึ่งเป็นตัวต้นแบบหรือ template ในการศึกษาค้นคว้าวิจัยการแสกนสมองในยุคต่อๆมา โดยขยายความ เป็นไปได้ว่าแสกนสมองของ Simon จะเป็น template ที่มากับโปรแกรมใดๆที่ใช้ในการแสกนสมองและพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์(AI) มันช่วยอำนวยความสะดวกให้คนใช้โปรแกรมไม่ต้องเขียน model ทั้งหมดขึ้นมาใหม่ แต่แค่ปรับแก้ไขส่วนประกอบต่างๆตามที่เราต้องการ มันเหมือนกับ template ที่คุณเห็นใน word, powerpoint หรือถ้าเป็นเกมส์ก็เช่น ตัวต้นแบบตอนสร้างตัวละครใน GTA V, Saint row ฯลฯ โดยผู้เล่นค่อยมาปรับแก้เอาตามต้องการ ไม่ต้องนั่งประกอบแขนขาหัวอะไรใหม่หมด
หากคุณสังเกตดู Munshi กับ Berg ที่ทำวิจัยร่วมกัน ก็สลับกันแสกนสมองในวันเดียวกัน(คงเพื่อทดลองเครื่อง) ถ้าคุณจำตอนต้นเรื่องได้แม้ว่าตอนนั้นฟอร์มออฟฟิศจะกระจอกแถมเป็นแค่โปรเจค thesis สุดท้ายแนวคิดการรักษาโดยใช้ข้อมูลการแสกนสมองไม่ได้ผล แต่กรรมวิธีในการแสกนกลับใช้ได้อย่างกว้างขวาง และเป็นต้นแบบในการศึกษาในยุคถัดๆมา
ฟัง Audio log จะพบว่า Simon ตัวจริงเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 1 เดือนหลังการแสกน เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บทางสมองแต่เดิม ก่อนจะเสียชีวิตเขาอนุญาติให้ Munshi นำข้อมูลการแสกนสมองของเขาไปใช้เพื่อการศึกษาวิจัยในอนาคตได้
Simon ตอนนี้รู้แล้วว่าการกระโดดข้ามเวลาอะไรนั่นมันไม่มีจริง ข้อมูลการแสกนของเขาเป็นตัวต้นแบบจึงมีอยู่กว้างขวางอยู่แล้ว ก็แค่รอวันดีคืนดีมีคนเอาข้อมูลนั่นมาใส่ในหุ่นแล้วกดเปิดสวิตช์แค่นั้น
โดยสรุป วิธีในการได้รหัสรักษาความปลอดภัยคือพยายามถามจากคนที่รู้ โดยต้องเข้าถึงสำเนาการแสกนสมองและใช้คอมพิวเตอร์ในห้องทำงานเธอให้ได้ (ซึ่งตอนนี้ยังใช้ไม่ได้ แต่ Simon ต้องลงไปทำการ reset router ในห้อง server ชั้นล่างก่อน)
ที่ห้องโถงหลักจะมีบันไดลงไปยังชั้นล่าง ขณะที่เราเดินลง Cath จะอ่านบันทึกรักษาความปลอดภัยของ Strohmeier “อย่าส่งเสียงดัง Proxies กำลังฟังอยู่” (นี่เป็นข้อมูลสำคัญที่เกมส์เตือนเราก่อนเจอมอนสเตอร์ตัวต่อไป) ลงไปแล้วจะพบห้อง server และทันทีที่เราเข้ามาจะพบว่าบรรยากาศวังเวงน่ากลัว แถมยังมีสัตว์ประหลาดตัวอื่นอยู่ด้วย โดยมันจะเดินวนไปวนมาหน้าคอนโซลที่เราต้องไปรีเซต router อีกต่างหาก
ทำใจร่มๆ เพราะวิธีที่เรารับมือมันนั้นง่ายมาก (ขอเรียกมันว่า proxy นับแต่ตรงนี้) จำไว้ว่า”มันไวต่อเสียง แต่ตาบอด” อีกทั้งสภาพแวดล้อมของห้องมีมุมให้เราหลบซ่อนเยอะ คุณต้องพยายามทำเสียงให้น้อยที่สุด(นั่งยองตลอด อย่าวิ่ง) เปิดไฟได้ และพยายามเดินหลีกเลี่ยงขยะบนพื้น เมื่อคุณเห็น proxy หน้าคอนโซลเป้าหมาย ให้หยิบของโยนไปไกลๆมันจะค่อยๆเดินไปดู เปิดโอกาสให้เราลอบย่องไปรีเซต router เมื่อกดปุ๊บเราจะต้องย่องหลบกลับมุมมืด proxy จะเดินกลับมา เราก็หยิบของอีกชิ้นโยนไปไกลๆใหม่ มันจะเดินกลับไปสำรวจอีก เปิดโอกาสให้เรากดปุ่มยืนยันการ reset ที่คอนโซล เสร็จกิจปุ๊บออกจากห้องขึ้นบันไดกลับไปข้างบนได้เลย
บทสรุป part 5 (Theta-2)
เมื่อคุณกลับขึ้นมาข้างบน ตอนนี้คอมพิวเตอร์จะใช้งานได้แล้ว ให้เราหาดิสที่เก็บข้อมูลการแสกนสมอง (จะมีที่ใช้ได้อยู่อันเดียวนั่นแหละ) ให้นำมาเสียบที่คอมใกล้ๆ Cath จะแนะนำให้เราเลือกคนที่น่าจะรู้รหัส โดยแนะนำว่า Strohmeier น่าจะเกณฑ์พวกคนที่ถูกย้ายมาจากสถานีอื่นเข้ามาทำงานรักษาความปลอดภัยด้วย (คงเพราะเจ้าหน้าที่เดิมที่ Theta มีหน้าที่ประจำกันหมดแล้ว)
เมื่อคุณเลื่อนดูทีละอันจะพบคนที่เข้าข่ายที่สุดคือ Brandon Wan แต่เมื่อลองรัน simulation กับข้อมูลของเขาจะพบว่า สภาพแวดล้อมที่ดูไม่น่าเชื่อถือทำให้เขาเกิดความเครียดและ simulation ก็ถูกยกเลิกอัตโนมัติ (โปรแกรมตั้งไว้ให้ยกเลิกอัตโนมัติถ้าตัวอย่างมีความเครียด เพราะถ้าปล่อยไว้มีโอกาสเป็นบ้าได้) คุณอาจนำดิสอีกอันไปก๊อปข้อมูลห้อง scan room มาลองใช้ดู แต่จะพบว่าไม่สำเร็จเช่นกัน ดังนั้นเราต้องรู้จัก Brandon ดีกว่านี้
ลงมาที่ living quater คราวนี้ Cath จะเปิดห้องของ Brandon ให้ เข้าไปเราจะพบของที่เป็นเบาะแสมากมาย ทั้ง data buffer ทั้งรูปถ่าย ทั้งข้อมูลในคอม คุณจะทราบว่า Brandon มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Alice Koster แถมในวันที่ Brandon มาแสกนสมองนั้น Alice เองก็อยู่ข้างๆเขาด้วย (Cath เป็นผู้แสกนก็จริงแต่เธอไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเธอแสกนสมองของตัวเองเป็นคนแรก ดังนั้นตัวเธอใน cortex chip ปัจจุบันจึงไม่รู้ข้อมูลใดๆหลังการแสกน เช่น แสกนใครไปบ้าง? เกิดอะไรขึ้นที่ Theta? เกิดอะไรขึ้นกับ ARK?)
เมื่อ Cath รู้ข้อมูลตรงนี้ปุ๊บ เธอก็วางแผนที่จะสังเคราะห์เสียงของ Alice และนำไปใช้กับ simulator หวังว่าจะให้ Brandon ผ่อนคลายลงและยอมบอกข้อมูลที่ต้องการ (Simon ไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะมันก็เท่ากับเป็นการหลอกและไปเล่นกับความรู้สึกของคน แต่ Cath คิดต่างกัน เธอเป็นลักษณะของคนที่ยึดหลักเหตุผลเป็นหลัก ความรู้สึกเป็นเรื่องรอง และมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จ บางคนอาจไม่ชอบ Cath ตรงนี้ แต่ผมขอไม่ตัดสินทั้ง Cath และ Simon ตรงนี้แล้วกัน)
เมื่อรัน simulation รอบนี้ (ใช้ scan room+Alice module) Cath จะเป็นคนคุยโดยใช้เสียงของ Alice เนื่องจากมันดูต่อเนื่องกับตอนที่เขามาแสกน Brandon จึงเชื่อว่านี่คือความจริงและยอมบอกรหัสความปลอดภัยแก่ Alice โดยดี เมื่อได้สิ่งที่ต้องการปุ๊บ Cath ก็ปิด simulator ลง ตรงนี้ผู้เล่นเลือกได้ว่าจะทำอย่างไรกับข้อมูลที่เหลือ ลบทิ้งหรือปล่อยเอาไว้ก็ได้ (ข้อมูลของ Brandon รวมถึงคนอื่นๆน่าจะอยู่ใน ARK เรียบร้อยแล้ว)
เมื่อได้รหัสมาเรียบร้อย เราก็พร้อมจะไปเอาเรือ DUNBAT แต่เมื่อ reboot เรือขึ้นมา เราจะพบว่า DUNBAT นั้นถูกแทรกแซงโดย WAU เรียบร้อยแล้ว (มันเลยถูก quarantine นั่นเอง) แถมยังมีแสกนสมองใครก็ไม่รู้อยู่ เรือ DUNBAT กรีดร้องด้วยความตื่นกลัว สาปแช่ง Catherine แล้วกระโจนหนีลงสู่ท้องทะเลอันมืดมิด หลังจากนั้นไฟรอบๆจะดับหมด ให้เราเข้าช่องแอร์มาเรื่อยๆ สุดท้ายเราจะมาโผล่ชั้น 2 ห้องวิจัย
เราจะมาโผล่ยังห้องวิจัยห้องหนึ่ง ตอนแรก Cath ไม่รู้ว่านี่คือห้องอะไรเหมือนกัน แต่ข้อมูลเกี่ยวกับ ARK มากมายที่อยู่ที่นี่ ทำให้รู้ว่าน่าจะเป็นห้องวิจัยหลักของเธอในการสร้างและปรับแต่ง ARK
Cath จะบอกให้เราเปลี่ยนแผนไปอีกทาง เพราะเมื่อเรือ DUNBAT อยู่ที่นี่(แถมใช้ไม่ได้) แปลว่าทีม ARK ก็ต้องเลือกใช้ทางอื่นในการเดินทางเช่นกัน โดยเธอจะแนะนำให้เราไปเอา power suit ที่ Omicron ใช้ลิฟท์จากที่นั่นมุ่งลงสู่ก้นทะเลอันมืดมิด แล้วเดินเท้าต่อไปยัง Tau และ Phi ตามลำดับ
ก่อนเราจะออกจากห้องนี้ Cath ต้องการข้อมูล 2 อย่าง คือข้อมูลการแสกนสมองนั้นถูกรันใน ARK อย่างไร และตัว Simon ประกอบมาจากอะไร เพื่อที่ทราบว่าเป็นไปได้หรือไม่ในการย้ายข้อมูลไปกับ ARK (ส่วน Cath มีข้อมูลของเธออยู่ใน cortex chip ใน omnitool แล้ว)
ในห้องมีข้อมูลมากมายให้คุณค้นเล่นเพิ่มเติม เช่น ผลโหวตเกี่ยวกับโคตรการ ARK ตำแหน่ง ARK ในปัจจุบัน (ก็อยู่ที่ Tau นั่นแหละ) log จาก Cath ก่อนออกเดินทาง แผนการเดินทาง รูปถ่ายของทีมส่ง ARK และรูปถ่ายตัว ARK เองที่ประกอบเสร็จแล้ว (ตอนนั้นทีมต้องยกกล่อง ARK ไปด้วย แต่ Simon ไปแต่ตัวแค่ตามรอยทีม ARK ไปก็พอ)
เล่นมินิเกมส์แก้ปริศนา ในการ run dummy (หุ่นทดลอง) ใน ARK ฉบับต้นแบบ เมื่อรันปุ๊บกดหยุดให้ได้จังหวะตรง dummy และ run diagnosis ทั้งนี้เพื่อให้ Cath ทราบถึงการทำงานว่าข้อมูลแสกนสมองถูกรันอย่างไร
ถัดมาตัว Simon ต้องเข้าไปแสกนร่างกายอย่างละเอียด เราจะพบว่าร่างกายเราคือเพื่อนร่วมงานเก่าของ Cath ชื่อ Imogen Reed โดยมี Occu-Torch (ส่วนรับภาพ+ไมโครโฟน+ตัวรับเสียง+ไฟฉาย), Data reader และ Cortex chip ถูกประกอบอยู่ในกระโหลก เมื่อทราบว่ามี cortex chip เหมือนกับตัวเธอ Cath จึงคิดว่าการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลไป ARK สำหรับ Simon ก็น่าจะเป็นไปได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อคุณออกมาจากห้องวิจัย มีเสียงโหยหวนและบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ ก็คงทราบว่าได้เวลาหลบมอนสเตอร์กันอีกแล้ว ฟัง data buffer ที่ลิฟท์จะทราบว่า Brandon พยายามจะถ่วงเวลามอนสเตอร์ให้อยู่ในชั้นนี้ด้วยการพังแผงวงจรที่ใช้เปิดประตูไปยังบันได (ที่มีไขควงเสียบคาอยู่แน่ะ) แถมพี่แกยังแกะชิปที่ใช้ควบคุมลิฟท์ออกมา ถือไว้กับตัวและไปหลบในห้องใกล้ๆก่อนที่จะเสียชีวิต ห้องนั้นเปิดไม่ได้ เราต้องไปปลดล็อคห้องที่ security check-point
จริงๆหลายๆห้องมีข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย แต่ผมคงเล่าไม่หมด
ทำแบบเดิมเหมือนที่เคยทำชั้นล่าง คือนั่งยองตลอดและพยายามไม่ทำอะไรให้เกิดเสียง อย่าพาตัวเองเข้ามุมอับ ซึ่งโดยทั่วไปคงเป็นไปได้ยาก เพราะแผนที่ชั้นนี้ทางเดินค่อนข้างเชื่อมต่อกัน เราสามารถเดินวนเป็นวงกลมใหญ่ๆได้ แถมยังกว้างและมีห้องให้หลบมากมาย พยายามสังเกตหน้าจอสั่นๆและฟังเสียงมันเดินดีๆ ในกรณีที่มันเดินมาหา พยายามใจเย็นอย่าลุกขึ้นวิ่ง ให้นั่งยองแล้วเดินหนีออกมา แต่ถ้ามันกรีดร้องเมื่อไหร่และเพลงตื่นเต้น แปลว่ามันเจอคุณแล้ว ใส่เกียร์หมาได้เลยจ้า
ที่ห้องพยาบาล คุณจะทราบว่ามอนสเตอร์ในชั้นนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ Akers นั่นเอง โดยเขาถูกลำเลียงจากเรือเหาะมายังห้องพยาบาล Nadine Masters ได้ตรวจพบความผิดปกติมากมาย (ซึ่งเธอคิดว่าหลายอย่างดูเหมือน Akers ทำตัวเอง อย่างเรื่องควักลูกตา แถมยังดื่ม structure gel อยู่หลายสัปดาห์) ขณะที่เธอกลับไปพิมพ์รายงานที่คอม ก็คาดว่า Akers จะลุกมาจู่โจมเธอจากด้านหลัง (ในรายงานคนไข้มีพูดถึง Cath ไว้ด้วยว่าเป็นคนเงียบๆและไม่ชอบสบตา)
มีโน๊ตเกี่ยวกับสภาพของ Akers ไว้ด้วยว่าสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ มีการเจริญเติบโตอย่างผิดธรรมชาติ และเนื้อเยื่ออยู่ในภาวะพึ่งพาอาศัยกับ host
Data buffer เนื้อหาคือ Ian Pedersen ปรึกษา Sarah Lindwall ด้วยความกังวลเดี่ยวกับการส่ง ARK เพราะการคำนวณของเขาเกี่ยวกับความสำเร็จในการส่ง ARK ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
เมื่อถึง security check-point ให้ปลดล็อคห้องของ Brandon ย่องกลับไปดึงชิปออกจากมือเขา (คุณจะพบว่า Brandon หนีมาจนมุมในนี้ โดยมีมอนสเตอร์พยายามทุบประตูห้อง ด้วยความสิ้นหวังเขาจึงเอามีดเชือดคอตัวเอง)
นำชิปกลับไป update security key ที่ security check-point ห้องเดิม คราวนี้เราสามารถนำมันไปเสียบที่ลิฟท์และใช้เรียกลิฟท์ได้แล้ว ให้หนีลงมาชั้นล่างได้เลย
บทสรุป part 6 (Theta-3)
ขณะลงลิฟท์เราจะพบว่าลิฟท์ติด (มีอะไรในเกมส์นี้ที่ไม่ขัดข้องมั่งฟะ) ขณะปีนออกมาเราจะตกลงมากระแทกพื้นสลบ เมื่อตื่นขึ้นมาเราจะบาดเจ็บกระเผลกๆอยู่ในชั้นล่างสุดของ Theta (ที่มีสถานีกระสวยของที่นี่) ไปตามทางที่บังคับ
Akers จะพังประตูและลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว พี่แกคว้าเราที่บาดเจ็บขึ้นมาและ Simon ก็สลบไปอีก
เมื่อเราตื่นขึ้นมาจะพบว่าเรากลับมาอยู่ในห้องของตัวเองเฉย แถมเรายังอยู่กับ Ashley อีกด้วย ซึ่งเธอบอกว่าเราเป็นคู่รักกัน (แต่มันน่ากลัวพิกล) Simon ไม่เชื่อว่านี่คือความจริงและไม่ยอมรับมัน เขาสะดุ้งตื่นขึ้นพบว่าตัวเองอยู่ในชั้นใต้ดินของ Theta เหมือนเดิมและพยายามแกะตัวเองออกจาก WAU ตั้งสติแล้วไปต่อ
บางคนอาจคิดว่า Simon ฝันไปเอง แต่ผมมองว่านั่นน่าจะเป็น visual reality ที่ WAU สร้างขึ้นมากกว่า (โดยโลกที่ WAU สร้างขึ้น ไม่จำเป็นต้องสวยงามอย่างที่มนุษย์ต้องการ อันที่จริงมันเองก็ไม่น่าจะเข้าใจว่ามนุษย์ต้องการอะไรอยู่แล้ว แถมใน VR ของ WAU แต่ละคนที่เชื่อมต่อเข้ามาน่าจะมองไม่เห็นกันด้วย) สิ่งนี่แหละที่ Akers เรียกมันว่า “Lucid dream” โดยถ้าหลีกเลี่ยงได้ เขาจะไม่ฆ่าใครเลย แต่จะจับมายัดใส่ WAU ให้เชื่อมต่อกับ VR ไปนานนับเดือนนับปี ซึ่งทำให้ร่างต้นในโลกจริงนอนแห้งเหี่ยวติดกับ WAU อย่างที่เราเห็น (บางคนที่นอนเหี่ยวจะกระซิบเหมือนละเมออะไรออกมาจากความฝันด้วย) นี่แหละคือการรักษามนุษยชาติในแบบของ WAU คือทำไงก็ได้ให้ไม่ตายอ่ะนะ แต่จะมีชีวิตอยู่แบบไหน คุณภาพชีวิตเป็นอย่างไร WAU ไม่สน(หรือไม่เข้าใจไม่รู้ แหม่ หยั่งกะหนัง The Metrix)
เดินไปต่อ ซึ่งศัตรูในชั้นนี้จะเป็น proxy 3 ตัว แต่ละตัวจะคอยคุมแยกเป็นโซนๆ มีช่องแอร์ 2 ช่องแยกแต่ละโซนออกจากกัน ที่สำคัญคือ เมื่อโดนไล่ให้หนีมาตั้งหลักที่ช่องแอร์เพราะคุณจะปลอดภัยในนี้ โซนสุดท้ายต้องเปิดระบบไฟให้เราผ่านประตูบานสุดท้ายได้ แน่นอนว่าชั้นนี้ไม่มีอะไรยาก เพราะมีกี่ตัวเราก็รับมือมันเหมือนเดิม
กระโดดลงน้ำและหนีเข้าท่อระบายน้ำ ข้างในต้องสับสวิตช์เพื่อเปิดประตู พอเราสับปุ๊บประตูเปิดสัญญาณเตือนภัยจะดังขึ้น เหล่า proxies จะทยอยเดินมาหา (มันข้ามน้ำมาได้ไงฟะ) พอวิ่งเข้าประตูที่เปิดขึ้น Simon ก็โดนกระแสน้ำพัดออกไปจากสถานี Theta
ข้างนอกคุณจะพบศพของ Vanessa Hart ก่อนตายเธอระเบิดถังออกซิเจนเพื่อสกัดการไล่ล่าของเหล่า proxies แต่ตัวเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต (เธอเป็น 1 ใน 5 คนที่หนีออกมาจาก Theta ได้ ซึ่งทั้งหมดกำลังจะลี้ภัยไปยัง Omicron)
บทสรุป part 7 (Omicron-1)
เดินจากจุดเดิมไม่ไกล Simon จะมาถึงยัง Omicron แต่พบว่าสถานีนี้อยู่ในภาวะถูกกักกัน (quarantine) มีชัตเตอร์ปิดตายประตูทำให้เรายังเข้าไปไม่ได้ ให้ไปยัง annex ที่เป็นโดมเล็กๆอยู่ข้างๆแทน (ผมไม่แน่ใจว่านี่คือ LUMAR annex หรือเปล่า แต่ดูเหมือนจะสื่อสารไปยังในสถานีได้)
ดูเหมือนคนที่หนีรอดออกจาก Theta มาถึง Omicron จะเหลือแค่ 4 คน
– ใกล้ๆนั่นคุณจะพบศพ Jonsy นอนอยู่หน้าประตูที่ปิดตายของ Omicron (เธอเป็นแผนกสื่อสารของ Upsilon ที่ถูกย้ายมา Theta) Strasky พยายามตะโกนเรียกคนในสถานี แต่ Richard คาดว่าที่ไม่ตอบเพราะทุกคนอาจจะตายหมดแล้ว ทั้ง 3 คนเลยหนีไปที่ annex ข้างๆ
– ที่ฐานของ annex คุณจะพบศพของ Peter Strasky เสียชีวิตเนื่องจากฆ่าตัวตายด้วยการถอดหมวกดำน้ำออก
– ขอบเหวระหว่าง annex และ omicron คุณจะพบศพ Emma Alvaro เสียชีวิตด้วยความสิ้นหวังเนื่องจากออกซิเจนหมดลง
ใน annex ดูเหมือนระบบระบายน้ำอัตโนมัติจะขัดข้อง คุณต้องนั่งปิดฝา ปรับวาล์วความดัน และระบายน้ำเอง สุดท้ายจะขึ้นมาข้างบนได้ เสียบ Cath ลงไปที่คอนโซล เธอจะให้เราหาวิธีทำให้ระบบไฟกลับมาทำงาน
บนนี้คุณจะพบศพอีกศพคาดว่าน่าจะเป็น Richard Thabo ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายจาก Theta เสียชีวิตแบบหัวระเบิดเป็นโพรง เนื่องจาก blackbox ในหัวระเบิด คุณจึงไม่สามารถอ่านข้อมูลใดๆจากเขาได้ (คาดว่าเขาอาจพยายามติดต่อกับ Omicron จนสำเร็จ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เชื่อมต่อมาอาจไม่ใช่คน แต่เป็น WAU นั่นเอง)
แก้ปริศนาให้ไฟติด ตอนนี้ถ้าลองตรวจสอบคอมดู คุณจะพบว่า blackbox ของเจ้าหน้าที่ทั้ง 12 คนใน Omicron ดับทั้งหมด ลองฟัง Audio log จบพบว่ามีการวิทยุขอยาแก้ปวด เนื่องจาก”ปวดมากจนหัวแทบระเบิด” Catherine คาดว่าน่าจะเกิดจาก WAU overload blackbox
เมื่อคุณพยายามยกเลิกการ quarantine สุดท้ายจะติดรหัสผ่าน ณ.ตอนนี้จอคุณจะซ่าแปลกๆเหมือนตอนอยู่ใกล้มอนสเตอร์ ในคอมอีกตัวรหัสจะปรากฏขึ่น ให้คุณกรอกรหัสและยกเลิกการ quarantine ได้ ซัตเตอร์ทั้งหมดที่ปิดตาย Omicron จะถูกยกขึ้น (ว่าแต่”ใคร”หรือ”อะไร”เป็นคนบอกรหัสให้เรากันแน่)
ประตูด้านหน้าของ Omicron ขัดข้อง คุณต้องไต่โครงเหล็กผุๆมาเข้าประตูด้านข้างแทน ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วคุณจะพบศพหัวขาดนอนตายอยู่ใกล้ทางเข้า (เห็นทีแรกน่าขนลุกมาก) อ้างอิงจากข้อมูลเรื่อง blackbox ข้างนอก แปลว่าเจ้าหน้าที่ข้างใน ตายหมดแล้วจริงๆ (แถม blackbox offline หมด แปลว่าหัวระเบิดเรียบทุกคน)
คุณจะพบว่าต่อให้ยกเลิก quarantine พื้นที่หลายๆส่วนในทั้ง 3 ชั้นของ Omicron ก็ยังถูก lockdown อยู่ คอมทุกตัวจะใช้ไม่ได้ หน้าจอจะขึ้นบอกให้คุณไปที่ห้องเตรียมดำน้ำที่ชั้น 2 (Diving prep. room) เพื่อกู้ระบบกลับมา ในระหว่างทางที่คุณขึ้นมาห้องนี้ คุณจะต้องผ่านห้องกระจกตรงกลางห้องโถงชั้น 2 จะมีมอนสเตอร์ตัวนึงแว่บผลุบๆโผล่ๆอยู่ข้างใน แต่ที่ต่างจากมอนสเตอร์ตัวอื่นที่เคยเจอมา คือมันคุยพอรู้เรื่องแถมพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างกับเราด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หน้าจอเราปั่นป่วนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตลอดเวลาที่อยู่ที่ Omicron ชอบแว่บผลุบๆโผล่ๆให้เราตกใจ แถมพยายามแทรกแซงระบบคอมเพื่อสื่อสารอะไรกับเราตลอด
(สำหรับผมที่ชอบอ่านข้อมูลจากคอม ถือว่าไอ้นี่น่ารำคาญมาก ==” แถมตำแหน่งห้องของมันดันอยู่ตรงกลางของสถานี Omicron อีก ดังนั้นเมื่อคุณวิ่งไปๆมาๆในสถานี มันก็จะแว่บผลุบๆโผล่ๆอยู่ในนั้นให้เราตกใจเล่นอีก โผล่มาก็พูดทีละประโยคสองประโยคอยากสื่ออะไรไม่บอกให้ชัดเจนไปเลย เหมือนเรียกร้องความสนใจจนน่ารำคาญมาก -*-)
เมื่อมาถึงห้องเสียบ Cath ลงไปเธอจะเปิดระบบไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์กลับมาให้ แล้วบอกแผนการในการ”ย้ายไปยังร่างใหม่”ให้เรา (ไม่ใช่การถอดชุดเดิม ใส่ชุดใหม่อย่างที่ Simon เข้าใจ) ต่อมาเธอจะบอกให้เราหา power suit ในห้องนี้
ในระหว่างทางที่คุณขึ้นมาห้องนี้ คุณจะต้องผ่านห้องกระจกตรงกลางห้องโถงชั้น 2 จะมีมอนสเตอร์ตัวนึงอยู่ข้างในและ
คุณจะพบว่า power suit นั้นเหลืออยู่แค่ตัวเดียวพอดี และเมื่อเปิดดูข้างในชุดจะพบว่ามีร่าง(ศพ)ของ Raleigh Herber อยู่ ซึ่งศพเธอก็ไร้หัวเหมือนศพอื่นๆในสถานีนี้ (ถ้าคุณสังเกตดูจะพบว่ามีขวดบรรจุของเหลวตกแตกอยู่บนพื้นข้างๆด้วย) ที่จริง Simon ก็แทบคงแทบจะอ้วก แต่ Cath บอกว่าให้มองในแง่ดี(?) อย่างน้อยมันก็มีร่างกายอันใหม่อยู่ในชุดสูททำให้เกือบจะพร้อมใช้งานเลย แต่สิ่งที่ขาดและต้องหาเพิ่มคือ cortex chip, structure gel, battery pack อันใหม่
ถ้าคุณอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในคอมจะพบว่า ชุดบางตัวนั้นมีความเจาะจงกับผู้ใช้ ตัวชุดจะมีการปรับให้เหมาะกับขนาดผู้ใส่และมีการเชื่อมต่อแต่ส่วนอย่างแน่นหนา ทำให้ทนอุณหภูมิและแรงดันที่ยิ่งยวดใต้ทะเลลึกได้ ชุดมีความหนักทำให้ไม่ถูกน้ำพัดไปง่ายๆ แถมใส่แล้วยังมีแรงมากขึ้นด้วยนะ (อาจเป็นเหตุผลที่เปลี่ยนชุดแบบดื้อๆไม่ได้ ไม่รู้ว่าชุดที่เหลือของ Herber ผูกผู้ใช้หรือไม่ หรือต่อให้ไม่ผูกกับผู้ใช้ก็อาจเปลี่ยนไม่ได้ด้วยข้อจำกัดทางสรีระของ Simon) แถมถ้าคุณดู suit tracker คุณจะพบว่ามีอยู่ 3 ตัวที่แสดงให้เห็นในแผนที่ (ใน Omicron, ก้นเหวทะเล, ใน Tau)
ในห้องมีรูป ARK ทีมอีกรูป (ชอบถ่ายเล่นกันจังเนอะ) รอบนี้ถ่ายตอนทุกคนใส่ชุดสูทเรียบร้อย
เมื่อคอมตรงห้องโถงแต่ละชั้นทำงาน จะมีมินิเกมส์ให้เล่นเพื่อปลดการ lockdown ในแต่ละชั้น ของที่เราต้องการ 3 อย่าง จะกระจายอยู่ตามห้องต่างๆในทั้ง 3 ชั้น (ผมไล่จากชั้นล่างขึ้นบนแล้วกัน)
1. Cortex chip : เอาจากในห้องซ่อมหุ่นยนต์ข้างล่าง โดยเล่นมินิเกมส์เพื่อปลดออกมาจากหุ่นยนต์ที่นอนอยู่ (เหมือนจะได้ทั้ง Occu-Torch และ cortex chip มาพร้อมกันเลย)
2. Structure gel : อยู่ในห้องวิจัยที่ใช้สังเคราะห์ Structure gel ในชั้น 2 เล่นมินิเกมส์(?)เพื่อซ่อมชิป คุณจึงจะเปิดตู้กระจกแล้วเอามันมาได้ (สำหรับห้องนี้ผมจะพูดถึงรายละเอียดเรื่องอื่นๆทีหลัง)
3. Battery pack : (ก่อนที่จะมาเอามัน ผมแนะนำให้สำรวจห้องอื่นๆให้หนำใจก่อน) เอาได้จากห้องในชั้น 3 ซึ่งจะมีมอนสเตอร์ตัวนึงอยู่ เป็นผู้หญิงมีคอมพิวเตอร์ครอบตายืนร้องไห้อยู่ (สงสัยดูหนังเกาหลีผ่านทาง oculus rift มั้ง)
ตรงนี้วิธีรับมือถือว่าง่ายมาก(ถ้าคุณรู้) โดยเธอจะไม่สนใจเราเลยหากอยู่นอกระยะของเธอ แต่ถ้าเราเริ่มเข้าไปใกล้ เธอจะไวต่อทั้งเสียงและการเคลื่อนไหวต่างๆ (คล้ายๆ Witch ใน L4D2 นั่นแหละ แต่รายนั้นไวแค่แสงไฟฉาย) วิธีรับมือคือ ย่องอ้อมไปทางด้านหลัง หลบพวกขยะบนพื้นที่ทำให้เกิดเสียง และเมื่อใกล้ตัวเธอมากพอ ให้”กดเดินทีละนิด” เช่น กดปุ่ม w ทีละนิดๆ จนคุณเคลื่อนเข้าไปใกล้พอที่จะหยิบ Battery ได้ เมื่อหยิบปุ๊บก็ย่องออกมาทางเดิม (หากคุณทำเสียงหรือเคลื่อนไหวเร็วไปเล็กน้อย เธอจะหยุดร้องไห้แล้วเอามือลง ให้คุณหยุดการกระทำใดๆ เธอจะกลับไปยืนร้องไห้เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณไม่หยุด เธอจะกรีดร้องแล้วพุ่งเข้าชาร์จอย่างรวดเร็ว)
เมื่อได้ของครบ 3 อย่างระหว่างทางที่คุณเดินกลับไปยัง เดินกลับไปยัง diving prep. room คุณจะพบว่าไอ้ตัวอยู่ในตู้กระจกมันระเบิดตู้กระจกแตกเลย และบอกว่าจะ(แอบ)ตามเราไปด้วย
บริเวณตรงที่มีฟิม์ล X-ray หน้า diving prep. room (ขออภัยไม่มีรูปชัดๆ แต่อันนี้ถ่ายมาเพราะเห็นกระดูกไหปลาร้าหัก-ถ้าคุณอยากรู้อ่ะนะ –”) คุณจะพบผู้หญิงร้องไห้คนเดิมดักอยู่ตรงใกล้ทางเข้า ให้วิ่งหนีเข้ามาได้เลย โดย Cath จะล็อคประตูไล่หลังเรา แม้ว่าจะปลอดภัย แต่มันก็ทำให้เราออกไปสำรวจห้องอื่นเพิ่มเติมไม่ได้
มาถึงตรงนี้ ผมจะสรุปข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจ 3-4 เรื่องให้ฟัง (และผมแนะนำให้อ่าน ถ้าอยากรู้เรื่อง)
บทสรุป part 8 (Omicron-2)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
[ข้อมูลที่น่าสนใจ 1] ใครคือมอนสเตอร์ที่ในห้องกระจกตรงกลาง?
จากข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่า เขาคือ Johan Ross ซึ่งหากคุณจำได้ เขาเป็น 1 ใน 3 พนักงานของ Carthage industries และเป็นคนที่มีอำนาจคนเดียวในการศึกษา WAU เดิมเขาทำงานอยู่ที่ site Alpha (เรื่องการวิจัยและศึกษา WAU ถูกปิดเป็นความลับโดยมีแค่ 3 คนนี้ที่รู้เรื่อง เจ้าหน้าที่คนอื่นอาจคิดว่า WAU เป็นโปรแกรมควบคุมธรรมดาที่อยู่ในระบบ โดยไม่มีศูนย์กลางอยู่ที่สถานีใด แต่หลังจากมีเหตุการณ์ประหลาดหลายๆเรื่อง เจ้าหน้าที่คนอื่นบางคนได้สงสัยในการมีอยู่ของ site ลึกลับนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่ามีจริงหรือไม่และอยู่ที่ไหน)
หลังจากทีม ARK ใช้ลิฟท์เพื่อลงไปส่ง ARK ที่ Phi ลิฟท์ถูกตั้งโปรแกรมให้กลับลงไปรับ ARK ทีม 2 วันหลังจากนั้น แต่สิ่งที่ขึ้นมากับลิฟท์กลับไม่ใช่ทีม ARK แต่เป็นศพของ Johan Ross นั่นเอง ศพของ Ross ถูกเก็บไว้เพื่อการตรวจสอบเพิ่มเติมในห้องกระจกตรงกลาง แต่ปรากฎว่าเริ่มมีปรากฎการณ์แปลกขึ้นรอบๆศพ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ Omicron รู้ว่านี่คือความพยายามในการ”ซ่อมแซม” Ross โดย WAU เป็นต้นเหตุ โดยมันควบคุมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบๆศพเพื่อสั่งการการซ่อมแซมผ่านทาง Structure gel การกระทำนี้ของ WAU ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและรังสีเข้มข้นรอบๆ Ross (แล้วดันเอาศพไว้ซะกลางสถานีเชียว) นับวันเจ้าหน้าที่ของ Omicron จะยิ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดศีรษะเรื้อรังเพราะผลกระทบต่อ blackbox ในหัว แต่ทุกคนเชื่อว่าเมื่อการซ่อมแซมโดย WAU เสร็จสิ้น อาการทั้งหมดจะหายไป ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไปรบกวนระบบพื้นฐานต่างๆของสถานีให้ทำงานขัดข้องอีกด้วย
[ข้อมูลที่น่าสนใจ 2] การเสียชีวิตของ Raleigh Herber แล้วเจ้าหน้าที่ Omicron คนอื่นๆ
ถ้าคุณลงไปยังห้องส่งสัญญาณของ Omicron ในชั้นล่าง คุณจะรู้ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารประจำสถานีนี้ และถ้าคุณคอยฟังเทปอันเสียงที่อยู่ตามโต๊ะและในลิ้นชักในสถานี รวมถึงค้นห้องสื่อสารของเธอ คุณจะพอสรุปข้อมูลได้ว่า Herber ได้รับการสื่อสารจาก Ross (ขณะที่ WAU ซ่อมแซมร่างกายเขาอยู่) โดยไม่แน่ใจว่าผ่านทางความฝันอย่างที่พูดหรือวิธีอื่น(เช่น โทรจิต? แทรกแซงคอมพิวเตอร์?) รายละเอียดคือแผนการเพื่อหยุดยั้ง WAU โดยใช้ Structure gel ที่สังเคราะห์มาโดยเฉพาะ(ที่น่าจะเป็นพิษต่อ WAU) และ Herber ต้องนำมันไปที่ Alpha เพื่อทำลาย WAU ซึ่งแผนการเหล่านี้อยู่บนกระดานในห้องสื่อสารของเธอ
เมื่อตัดสินใจที่จะทำแล้ว เธอได้ติดต่อให้เพื่อนร่วมงาน(จำชื่อไม่ได้)สังเคราะห์ gel “สูตรพิเศษขึ้น” หลังจากนั้นเธอได้ไปถาม Julia Dahl เกี่ยวกับการมีอยู่ของ site Alpha รวมถึงตำแหน่งของมัน ซึ่ง Julia ไม่ยอมตอบในตอนแรก แต่ Herber ได้คาดคั้นเธอจนยอมบอก (ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมบอก บริษัท Carthage industries มันน่าจะเจ๊งไปตั้งแต่ดาวหางพุ่งชนโลกแล้วไม่ใช่เรอะ? หรือเธอกลัวเจ้าหน้าที่คนอื่นจะลงโทษเธอโทษฐานปิดบังและแอบทดลองอะไรมั่วซั่วกัน?) ก่อนเดินทางเธอจะวิทยุไปบอก Strasky ว่าเธอจะไม่อยู่ไม่กี่วันเนื่องจาก”ต้องไปทำเรื่องสำคัญ” และเมื่อ Herber เตรียมตัวพร้อม เธอจึงมาใส่สูทเตรียมลงลิฟท์ไปยังก้นทะเลด้านล่าง เมื่อนั้น WAU ได้ overload blackbox ผ่านทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนหัวระเบิดเสียชีวิต Herber จึงตายอยู่ในสูทของเธอโดยมี Structure gel สูตรพิเศษที่เธอเตรียมมาด้วยตกแตกอยู่ข้างๆ
ไม่แน่ใจว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของ WAU ที่ทำให้ระบบภายในสถานีหลายอย่างขัดข้องไปเรื่อยๆเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการ quarantine ที่สถานี Omicron ตามมาโดยอัตโนมัติหรือไม่ แต่อีกอย่างที่เป็นไปได้ก็คือ WAU จงใจทำให้สถานีเข้าสู่ภาวะ quarantine เพื่อที่จะได้ฆ่าทุกคนที่อยู่ในนั้น โดยไม่ให้ใครหนีรอดไปได้ (จะมีศพ 4 ศพกองอยู่ตรงประตูหลักของ Omicron เหมือนพยายามจะหนีออกจากสถานีแต่ผ่านประตูออกไปไม่ได้ หรือไม่ก็จะหนีแต่หนีไม่ทัน)
[ข้อมูลที่น่าสนใจ 3] การวิจัยศึกษา Structure gel ที่ผลิตโดย WAU
ในห้องที่คุณเก็บ Structure gel คุณจะพบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Structure gel ของ WAU กล่าวโดยสรุปคือเมื่อใช้มันร่วมกับใส่กระแสไฟฟ้า มันจะมีการเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีวันตาย พฤติกรรมคล้ายเซลล์มะเร็ง (รายละเอียดหรือการทดลองในหนูคงไม่ได้เล่าในนี้ เริ่มยาวไปแล้ว) ตรงจุดที่มีเลเซอร์ที่คุณใช้ซ่อมชิปตู้ structure gel นั่นเป็นการทดลองใส่ gel+กระแสไฟฟ้าใส่สิ่งต่างๆ (โดย laser นั่นใช้เล็งเป้าเฉยๆนะครับ) โดยทั่วไปคุณคงเอาชิปที่ต้องซ่อมไปใส่ในตู้ที่ 2 แต่ถ้าคุณลอง ใช้ gel+ไฟฟ้าใส่ตู้ที่ 1 จะพบว่าไฟในแผงวงจรเริ่มติดขึ้นมาเฉย โดยปราศจาคแหล่งพลังงาน ส่วนในตู้ที่ 3 ถ้าคุณลองใช้ gel+ไฟฟ้าใส่ศพหนู หนูจะกลับมาขยับได้เหมือนมีชีวิต
[ข้อมูลที่น่าสนใจ 4] ข้อมูลที่หลงเหลืออยู่ของ Julia Dahl
คุณพบศพเธอได้บนห้องอาหารชั้น 3 ในคอมพิวเตอร์มีข้อมูลไฟล์เสียงเรื่องอาการของเจ้าหน้าที่ในสถานี Omicron และในไฟล์สุดท้ายเธออัดเสียงไว้ตอนหัวระเบิดพอดีอีก ส่วนไฟล์ข้อมูล เธอกล่าวถึงการอพยพผู้คนออกจาก Tau โดยวันที่ 13 กันยา มีคำสั่งอพยพผู้คนจาก Tau ไปยัง Omicron โดยเธอกับ Alan Waldeck ได้เอาลิฟท์ลงไปรับคนที่จะอพยพ แต่เธอได้ยินทางวิทยุว่าทีมที่กำลังมาที่ลิฟท์โดนโจมตีจากอะไรสักอย่าง มีเสียงกรีดร้องไปทั่ว เธอเข้าใจว่าการรอรับคนจาก Tau นั้นสำคัญ(โดยเฉพาะ Ross) แต่เมื่อเห็นสถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคม เธอจึงตัดสินใจเอาลิฟท์ขึ้นและหนีกลับขึ้นมายัง Omicron เธอรายงานเรื่องการอพยพว่า”ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” (อ่ะนะ เฮียจริงๆ) นั่นทำให้ Claudia Eames หัวหน้าสถานี Omicron ไม่สั่งใช้ลิฟท์และส่งใครลงไปเพิ่มเติม ทาง Theta ก็ไม่มีคำสั่งใดๆใหม่
อนึ่งถ้าเจ๊มีความลับมากนัก ไม่รู้จะเอาคอมมานั่งอัดเสียงกลางโรงอาหารทำไมฟะครับ ไปแอบอัดในห้องส่วนตัวของตัวเองดิ์ ==”
กลับมาทางด้าน Simon เมื่อรวบรวมของ 3 อย่างครบ ก็เอา cortex chip(+Occu-torch) ใส่ศพ ติด battery ใส่ชุดดำน้ำ เท structure gel ที่ได้มาเคลือบศพ เท่านี้เขาก็พร้อมย้ายไปสู่ร่างใหม่แล้ว
ตรงนี้คุณจะทราบว่า ต่อให้ Simon ไม่ยอมย้ายไปร่างใหม่ Cath ก็จะย้ายตัวเธอเองเข้าไปในชุดอยู่ดี เพราะว่าสำหรับเธอแล้ว ARK มีความสำคัญมาก ต่อให้เธอต้องลงไปกู้มันคนเดียวเธอก็จะไป (แต่มองในมุมมอง Simon ถ้าไม่ลงไปแล้วตรูจะไปไหนฟะ เพราะโลกมันล่มสลายไปหมดแล้ว แถมตูก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วด้วย -_-”) เมื่อพร้อมแล้ว Cath จะบอกให้ Simon ไปที่ pilot seat ได้เลย
เมื่อ sync ข้อมูลใน cortex chip ในคอมได้ปุ๊ป ก็นั่งลงบนเก้าอี้ รอ Cath ย้ายให้
Simon รู้สึกตัวอีกทีในชุด power suit เรียบร้อยแล้ว แต่เขาจะได้ยินเสียงตัวเองดังออกมาจากอีกห้องนึง บอกทำนอง “Cath? มันไม่เห็นจะได้ผลเลย มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?” Cath ทำให้ Simon ใน pilot seat หลับไป แต่อย่างไรก็ตาม Simon ใน power suit ไม่ยอมรับเรื่องนี้อย่างรุนแรงจนมีปากเสียงกับ Cath เล็กน้อย ตอนแรกเขานึกว่ามันคือการ”ย้าย”จิตใจของเขาไปใส่อีกร่าง แต่ Cath บอกว่าในทางปฏิบัติมันย้ายไม่ได้ มันทำได้แค่”copy”ข้อมูลในสมองของร่างนึงไปใส่ในอีกร่างนึงเท่านั้น Simon (คนใหม่)บอกว่าไม่อยากให้ Simon (คนเก่า)ตื่นขึ้นมาอย่างเดียวดายใน Omicron ดังนั้น Cath จึงให้ทางเลือกในการจบชีวิต Simon คนเดิมด้วยการสั่งดูดพลังงานในชุดออก เรามีทางเลือกจะทำหรือไม่ก็ได้ (ส่วนตัวว่าดูใส่อารมณ์มากฉากนี้ เพราะผู้เล่นอาจรู้สึกผูกพันกับตัวลครที่เราเล่นมาตั้งแต่แรก แต่เอาเข้าจริงมันก็แค่ดับเครื่องร่างเดิมไปไม่ใช่เหรอ? อนาคถ้าใส่แบตพี่แกก็กลับมาทำงานเหมือนเดิมเหมือนที่ตื่นขึ้นมาตอนแรกใน Upsilon? ไม่ใช่คนที่สมองหยุดทำงานจะม่องไปจริงๆ)
ไม่ว่าคุณจะเลือกยังไง คุณก็จะออกจาก Omicron เตรียมลงลิฟท์ (ACR : Abyssal Climber Rig) ไปยังก้นมหาสมุทร และมุ่งหน้าสู่ Tau
บทสรุป part 9 (ACR+Abyss)
หลังจากได้ power suit มาแล้ว Simon ได้ไปถึง climber (หรือ ACR : Abyssal Climber Rig ลิฟท์สู่ก้นทะเล)
เมื่อคุณเข้ามาให้เสียบ Cath ปรับจำนวนผู้โดยสารและปรับเป็นขาลง เสร็จปุ๊บคุณก็ไปนั่งได้เลย
สถานี Omicron นั้นอยู่ใต้ทะเลลึกลงมาแค่ 115 เมตร แต่สถานี Tau นั้นอยู่ในก้นทะเลลึกถึง 4114 เมตร ณ.จุดนี้ลิฟท์จะใช้เวลาสักพักกว่าจะลงไปถึง กล่าวโดยขยายความ สถานีด้านบนทั้งหมดที่เราผ่านมานั้นอยู่บน “plateau” (“ที่ราบ”หรือ”ราบทะเล”ในที่นี้) แต่สถานีที่เหลือได้แก่ Tau และ Phi รวมเรียกว่า “Omega sector” ส่วนนี้จะกินพื้นที่ประมาณ 1 เอเคอร์อยู่ในส่วนของ “Abyss” (“หุบแหว”หรือ”เหวทะเล”) ถ้าไม่ใช้เรือดำน้ำลึกที่ออกแบบมาเพื่อทนแรงดันน้ำสูงแบบ DUNBAT คุณก็ต้องใส่ power suit แล้วไปยังจุดที่เชื่อม plateau และ abyss ซึ่งก็คือสถานี Omicron ที่ควบคุมลิฟท์ขึ้นลงนั่นเอง
เมื่อนั่งปุ๊บคุณจะเห็นหน้าจอแสดงความลึกทางซ้ายที่คอยไต่ระดับลึกลงเรื่อยๆ (กลมๆสีแดงในนั้นคือ LUMAR probe) Simon จะยังคิดมากเรื่องที่เกิดขึ้นที่ Omicron อยู่ เช่น ถ้ามีโลกหลังความตายจริงตัวเขาแต่ละร่างที่ตายแล้วจะไปไหน? ที่นั่นจะมีคนที่เหมือนกับเขามากมายไหม? จะมีคนเรียกเขาว่าเป็นร่างก๊อปปี้ไหม? ตัวของเขาใน Omicron ที่ไม่ได้ไปต่อ มันก็เหมือนกับคนที่”แพ้ในการโยนเหรียญ” พ่ายแพ้ต่อโชคชะตาจึงไม่ได้ไปต่อ ฯลฯ Cath ช่วงแรกๆนิ่งเงียบ เพราะกลัวว่าพูดไปจะทำให้ Simon ไม่พอใจ เมื่อ Simon บอกให้เธอพูดอะไรก็ได้อยู่เป็นเพื่อน เธอจึงเล่าชีวิตของเธอสมัยอยู่ที่ไทเป(ไต้หวัน)ให้ฟัง ช่วยให้ Simon ได้ผ่อนคลายได้บ้าง ซึ่งเขาเองได้ระบายว่าสำหรับเขาแล้ว มันไม่เหมือนมีที่ไหนในโลกให้เขาอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว ต่อให้การส่ง ARK สำเร็จ มันก็เหมือนเดิม เขาโดดเดี่ยว ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนหลงเหลือ Cath จึงตอบว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าลืมว่าเขายังมีเธอเป็นเพื่.. (ลิฟท์ไฟดับ! Cath เลยดับไปด้วย สิ่งนี้เหมือนเป็น paradox ที่ทางทีมผู้พัฒนาใส่มาให้ผู้เล่นรู้สึก ว่าต่อให้เรามี Cath อยู่กับเราตลอด เธอก็อยู่ใน Omnitool ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงาน ==”)
ให้เราปีนขึ้นไปกดปุ่มในแผงวงจรบนลิฟท์ไฟจะกลับมาทำงาน คุยกับ Cath ต่อไม่ทันไร ไอ้ตัวกวนประสาท Johan Ross จาก Omicron โดดลงมากระแทกลิฟท์และเปิดประตูเข้ามาทักทายเราเล็กน้อย (ไม่รู้มันจะโผล่มาให้ตกใจเล่นทำไม หรือนัยหนึ่งทำให้รู้สึกว่ามันจะตามเราไปตลอด) เราสลบไปแป๊ปๆก็ตื่นขึ้นมา Cath เองก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน เธอก็นึกว่ามันจะเชือดเราทิ้งแล้วนะเนี่ย แต่มันก็แค่มาหลอกหลอนแล้วก็โดดลงก้นทะเลล่วงหน้าไป
ลิฟท์ในที่สุดก็มาถึงก้นทะเลลึก 4 กิโลเมตร คุณจะรู้ลึกได้ถึงแสงที่น้อยลง และแรงดันน้ำที่สูงขึ้น ในที่นี้จะมีแผนที่อาคารเล็กๆน้อยๆ 4 หลัง (โดยสรุป อาคารนึงมีคอมที่บันทึกการใช้ ACR อีกหลังมี data buffer ข้อมูลสุดท้ายคือ ARK team พยายามสื่อสารไป Tau แต่ไม่มีใครตอบ) ตรงนี้จะมีป้ายเตือนบอกให้พยายามอยู่ในแสงไฟ และตัวเรียกลิฟท์ใช้ไม่ได้จากข้างล่างนี้ เพราะ LUMAR link เจ๊ง
คุณจะพบแผนที่คร่าวๆของพื้นที่ใต้ก้นทะเลนี้ การไปที่ Tau จะเจอสถานีย่อยรายทาง 2 สถานี และมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวระหว่างทางด้วย
คุณจะพบศพของ Glasser แหลกเป็นชิ้นๆเหมือนโดนกัดแทะด้วยตัวอะไรซักอย่าง คุณจะทราบว่า Glasser กับ Ross พยายามเดินทางมาที่ลิฟท์โดยตามแสงไฟ Ross นั้นบาดเจ็บอยู่เดิมแล้ว เขาบอกว่าถ้าเขาตาย ให้นำคำเตือนเรื่อง WAU ไปบอก Julia Dahl เธอจะแจ้งไปยัง Mark Sarang ซึ่งเขารู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป เมื่อทั้ง 2 คนมาถึงจุดนี้แสงบอกทางกลับดับไป Glasser ถูกโจมตีเสียชีวิต ส่วน Ross เองไปถึง ACR และขึ้นไปยัง Omicron (แต่เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหว และน่าจะเสียชีวิตระหว่างอยู่ในลิฟท์)
นี่เหมือนเป็นคำเตือนรอบที่ 2 ถึงกติกาการเอาชีวิตรอดใต้ก้นทะเลนี้คือ “พยายามอยู่ในแสงไฟ”
พยายามเดินตามแสงไฟสีฟ้าเพื่อไปยัง Tau (ถ้าคุณหันหลังกลับจะเห็นไฟดวงเดิมกลายเป็นสีแดง ดังนั้นตามสีฟ้า ไงๆก็ไม่หลง)
คุณจะพบสถานี Observatory ที่ใช้สำรวจพันธุ์สัตว์น้ำ ดูเหมือน Glasser จะเคยทำงานที่นี่ ในคอมมีบันทึกที่เขาเขียนไว้เกี่ยวกับการสำรวจสัตว์น้ำ ซึ่งคุณจะพบว่าสัตว์น้ำพวกนั้นถูกแทรกแซงโดย gel ของ WAU จนมีรูปร่างผิดไปจากเดิม รวมถึงพฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติ (ฉลาม, ปลาหมึก, ปลาตะเกียง เท่าที่มีบันทึก)
เดินต่อไปเรื่อย ไฟจะอยู่ไกลขึ้น รอบๆข้างจะมืดมากขึ้น ถ้าคุณอยู่ห่างไฟจะโดนปลาไล่กัดทันที จะมีตู้คอนเทนเนอร์และ chem light ตกๆอยู่ คุณสามารถไปหลบได้ เดินต่อมาเรื่อยๆก็จะพบสถานีย่อยอีกสถานี
สถานีนี้เหมือนจะเป็นที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ส่งไปยัง Tau และ Phi (ลิฟท์ลงข้างล่างใช้งานไม่ได้) data buffer จะพบว่าทีม ARK ได้เคยผ่านมาทางนี้และติดต่อไปยัง Tau ซึ่งทางนั้นดูประหลาดใจมากที่มีคนลงลิฟท์มาหา ทาง Tau แนะนำเหมือนเดิมคือให้อยู่ในแสงไฟ(เป็นรอบที่ 3 เกมส์กลัวเราไม่รู้มั้ง)
ตรงนี้คุณต้องใช้หุ่นนำทางเพื่อไปต่อยัง Tau ระหว่างทางคุณจะพบว่าไฟที่ปักตามพื้นมันดับ มีแค่ไฟจากหุ่นที่พึ่งพาได้ ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่มีหนอนทะเลตัวใหญ่เข้ามาโจมตีจนหุ่นพัง ให้คุณหลบฉากเข้าหา chem light สีเขียวทันที
Chem light สีเขียวจะนึงทางคุณลอดถ้ำ (ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วนี่เป็นฉากที่บัดซบที่สุด เพราะโดน phobia ของผู้เขียนอย่างรุนแรง จนแทบจะต้องหรี่ตารีบวิ่งให้มันพ้นๆออกจากถ้ำไปเลย แน่นอนว่าไม่มีรูป ใครจะถ่ายมาฟะ บรื๋อๆๆๆ T-T)
ทันทีที่คุณออกมาจะเห็นแสงไฟสีขาว แต่คุณถ้าจำได้ไฟมันต้องเป็นสีฟ้านี่หว่า ปรากฎว่านั่นคือปลาตะเกียงค่อยๆว่ายเข้ามาโจมตีเรา (แถมตรงนี้เนื่องจากผู้เขียนพยายามถ่ายรูปมันให้ใกล้ๆ ทำให้หลบฉากไม่ทัน สุดท้ายต้องวนกลับไปสลัดมันในไอ้ถ้ำบัดซบนั่นอีกรอบ อ๊ากกก ในถ้ำมีทางแยกที่วนเป็นวงกลมเหมือนออกแบบมาให้คุณสลัดมันได้อยู่แล้ว)
เอาเหอะ สุดท้ายออกจากถ้ำมาไม่ไกล เดินตามไฟสีฟ้าเหมือนเดิมคุณก็จะถึงสถานี Tau
บทสรุป part 10 (Tau)
ในสถานี Tau คุณจะพบว่าค่อนข้างมืด เดินไปเดินมาแป๊ปๆจะพบว่า airlock อีกตัวที่อยู่สุดทางเดินก็กำลังทำงานอยู่ มันหมายความว่ามีใครอีกคนกำลังเข้ามาในสถานีในเวลาไล่เลี่ยกับเรา
เข้าห้องแรกทางขวาจะพบว่านี่คือห้องเตรียมดำน้ำ มีตู้เบอร์ 3 ที่มี structure gel เลอะออกมา และถ้าคุณตรวจสอบจากคอม จะพบว่าชุดเบอร์ 3 นั้น active อยู่ โดยคนที่ใส่คนสุดท้ายคือ Jin Yoshida แต่คนที่เข้ามาใช้ชุดคนรองสุดท้ายคือ WAU จากข้อมูลพวกนี้พอสื่อได้ว่า Jin โดน WAU ยึดร่างกลายเป็นมอนสเตอร์ไปแล้ว
(data buffer ตรงผนังจะทำให้เราทราบว่าทาง Tau ได้ปิดการใช้พลังงานในพื้นที่ส่วนหน้าเพื่อลดการใช้พลังงาน ทางสถานีไม่คิดว่าจะมีคนมาเยี่ยมเหมือนกัน เสบียงในสถานีถูกใช้ไปหมดและเจ้าหน้าที่ก็เริ่มป่วย Ian Pederson (ทีม ARK) ตอบว่าสถานีข้างบนเขานึกว่าเจ้าหน้าที่ข้างล่างเสียชีวิตหมดแล้ว เพราะมีคนรายงานการอพยพที่ล้มเหลวใน Omicron (ถ้าคุณอ่านข้อมูลในคอมของ Julia Dahl ที่สถานี Omicron จะพบว่าเธอนั่นแหละเป็นคนที่ทิ้งคนที่นี่หนีขึ้นลิฟท์มาและรายงานไปว่าการอพยพจาก Tau นั้นล้มเหลว)
ดูแผนที่จะพบว่า blackbox ทั้งหมดอยู่ในโซน living area ข้างหลัง การที่คุณจะไปที่นั่นได้ต้องผ่าน blast door 2 บาน ซึ่งเป็นประตูที่ล็อคอย่างหนาแน่น และต้องใช้เวลาในการปลดล็อค
ทันทีที่ประตูเปิดคุณจะพบ Jin ซึ่งกลายเป็นมอนสเตอร์ไปแล้ว(ขอเรียกว่า”หน้าหนวด”) แถมเป็นตัวที่มีความครบเครื่องที่สุดที่คุณเคยเจอมา ถือว่าเป็นศัตรูที่ท้าทายและคุณต้องใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีในการหลบ โดยพี่แกจะตอบสนองต่อเสียง ความเคลื่อนไหว และมองเห็นเราได้จากระยะไกล(ตามันอยู่ตรงไหนฟะ) สปีดในการพุ่งชาร์จถือว่าเร็วมาก
สำหรับการรับมือ เนื่องจากหูดีมากแบบว่าคุณเปิดประตู ชนของตก มันจะรีบเดินมาสำรวจทุกครั้ง ในทางกลับกันเราก็ใช้จุดนี้ล่อมันได้ เช่น ถ้าคุณเปิด intercom ตรงคอมไว้ มันก็จะเดินมาสำรวจ คุณก็รีบชิ่งไปที่อื่น และเนื่องจากตามันดีมาก ปุ่มแอบดูต้องใช้ให้เป็นนิสัยเพราะมันไม่เหมือนพวก proxies ที่ตาบอด เห็นเรานิดเดียวจากระยะไกลก็ไม่เว้น ดังนั้นเราอาจต้องปิดไฟในห้องบางห้องเพื่อทำให้ซ่อนตัวได้ดีขึ้น ถ้าโดนเจอตัวให้พยายามวิ่งเลี้ยวเข้าห้องเพื่อสลัดมัน เพราะวิ่งตรงๆสปีดมันจะเหนือกว่าเรา (บางคนบอกว่าถ้ามันเห็นเราปุ๊บ ให้จ้องตาแล้วถอยหลัง เพราะทันทีที่หันหลังมันจะพุ่งมาไล่ทันที ซึ่งผมยังไม่ได้ลองวิธีนี้)
เมื่อคุณเปิด blast door อันที่ 2 ให้รีบหลบเพราะมันจะมาดูแน่นอน รอเวลาให้ประตูปลดล็อคแล้วโยนของล่อ เมื่อคุณอ้อมไปถึงประตูได้ก็รีบแจ้นไปปีนบันไดได้เลย ถ้ากดปีนบันไดได้ก็ปลอดภัยเพราะมันจะตามเราไม่ได้แล้ว เดินต่อไปตามทางเรื่อยๆ
สุดท้ายคุณจะมาถึงส่วนของ living quater บนโต๊ะจะมีโน๊ตเกี่ยวกับเสบียงอาหาร ที่นี่ขาดแคลนอาหารในระดับที่ว่าเสบียงหลักหมดต้องเปลี่ยนมากินพวกปลาหมึกย่าง ปลาเล็กปลาน้อย repair paste(คือขี้ผึ้ง/ยาสำหรับซ่อมบำรุงมันกินได้ด้วยเหรอ?) สุดท้ายเหลือแต่ Intravenous เท่านั้น (สารน้ำที่ให้ทางหลอดเลือด เช่น พวกน้ำเกลือ)
ในห้องของฝ่ายสื่อสาร คุณจะพอทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆ มีบันทึกว่า LUMAR probe มันเริ่มเจ๊งตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2013 ทำให้ Tau สื่อสารไปยัง Omicron ไม่ได้ ทาง Omicron จะต้องส่งเจ้าหน้าที่มาเยี่ยมเยือนทุก 2 สัปดาห์ในช่วงแรก วันที่ 13 กันยา 2013 มีคำสั่งอพยพเจ้าหน้าที่จาก Tau ไปยัง Omicron (แต่โดนสัตว์ทะเลที่ควบคุมโดย WAU ซุ่มโจมตี Julia Dahl ขึ้นลิฟท์หนีไปและรายงานว่าการอพยพล้มเหลว) เจ้าหน้าที่ที่ยังมีชีวิตถอยกลับมายัง Tau และโดนพวกสัตว์ทะเลล้อม วิทยุก็ใช้ไม่ได้ด้วย ทำให้ที่นี่ถูกตัดขาดและขาดแคลนอาหารเรื่อยมา เจ้าหน้าที่ก็ทยอยป่วยและล้มตายทีละคน
ใช้คอมพิวเตอร์ที่นี่ปลดล็อคห้องที่ล็อคอยู่ 2 ห้องคือ ห้องของ Johan Ross และห้องพยาบาล
ในห้องของ Johan Ross คุณจะพบแผนที่แปะหราอยู่ตรงผนัง(ไหนบอกเป็นความลับไงฟะ) แสดงให้เห็นตำแหน่งของ site Alpha ซึ่งมันอยู่ระหว่าง Tau และ Phi นี่เอง นอกจากนี้จะมีรูปถ่ายแสดงถึงการเจริญเติบโตอย่างผิดแกติของ WAU core
ในโน็ตแพต มีบันทึกเรื่องการอพยพไว้จนถึงเรื่องที่ทีม ARK ปรากฎตัวในวันที่ 25 ธันวาคม 2013 แต่วันที่ 26 ทีม ARK กลับมาโดยเหมือนปิดบังอะไรบางอย่าง และคิดตัดสินใจเรื่องการยิง ARK อยู่ที่ Tau ดังนั้นเมื่อลิฟท์มารับในวันที่ 27 Ross กับ Glasser จึงตัดสินใจไปขึ้นลิฟท์ เพื่อแจ้ง Julia Dhal และ Mark Sarang เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินเรื่อง WAU
นอกจากนี้จะมี audio log อีก 5 อันบันทึกเรื่องการทดลองเกี่ยวกับ WAU ที่น่าสนใจคืออันสุดท้าย กล่าวว่า “ตอนนี้ WAU ได้เข้ายึดครองและควบคุมทุกเครื่องจักรและทุกสิ่งมีชีวิต จริงๆมันเป็นความพยายามที่จะช่วยผู้สร้างของมัน(มนุษย์)ตามแก่น protocol เดิม แต่อะไรกันแน่คือวิธีที่เหมาะสม? เส้นที่คอยขีดคั่นนิยามของความเป็นมนุษย์นั้นอยู่ตรงไหน? ศพที่เดินได้ถือว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า? เครื่องจักรที่คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่? เราไม่ควรคาดหวังแต่แรกว่าเครื่องจักรจะรู้หรือเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ WAU-project จะต้องถูกยุติ มันสามารถทำได้ ฉันต้องไปขอความช่วยเหลือที่ Omicron”
(สรุปว่าน่าด่ามาก นอกจากตอนตายชอบ blink ไปมากวนประสาทแล้ว ตอนมีชีวิตพี่แกยังเป็นตัวต้นเหตุหายนะของศูนย์วิจัยแห่งนี้เลย ไม่รู้ว่าพี่แกพัฒนา WAU อีท่าไหน แล้วทำไมเพิ่งคิดจะมายกเลิกตอนอะไรๆมันสายไปแล้ว เหมือนพล็อตหนังที่เราเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ชอบมีนักวิทยาศาสตร์บ้าๆชอบไปยุ่งกับอะไรที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ แถมต่อมาก็ควบคุมไม่ได้ จนในที่สุดก็นำความชิบหายมาสู่ตัวเองและคนอื่นๆ ==”)
เดินสำรวจตามห้องคุณจะพบเจ้าหน้าที่ Tau ที่ถูก WAU ดัดแปลงเป็นกึ่งหุ่นยนต์ 2 คน ส่วนทีม ARK (จาก 5 คน) มี 2 คนเสียชีวิตแล้ว ได้แก่ Ian Pederson เสียชีวิตโดยกล่าวขอโทษ Catherine ในวาระสุดท้าย Jasper Hill กล่าวว่าเราน่าจะยิง ARK ตามแผนเดิม เขาฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับ Sarah Lindwall ก่อนเสียชีวิต
ในห้องที่มีศพ Jasper Hill ยังมีอีกคนที่ถูก WAU ดัดแปลงเป็นกึ่งหุ่นยนต์ไปเรียบร้อย นั่นคือ Nicolai Ivashkin อีก 1 คนใน ARK team (เขาจะถือรูปเด็กชายในมือ ถ้าคุณเข้าไปใกล้จะได้ยินเสียงเขากระซิบว่า”Aleksey”) บนชั้นวางจะมีโน็ตแพตของ Jasper Hill จะกล่าวว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่ Phi ทำให้การยิง ARK ถูกยกเลิก
ที่ห้องพยาบาลชั้นบน คุณจะพบ Sarah Lindwall หนึ่งในทีม ARK อีกคน ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่คุณเจอในศูนย์วิจัย แถมยังน่าจะเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วย เธอยังรอดอยู่ได้ด้วยสารอาหารเพียงแค่เล็กน้อยจากพวกน้ำเกลือ ซึ่งจริงๆพวกนี้มันให้พลังงานไม่เพียงพอสำหรับคนธรรมดาอยู่แล้ว เธอจึงผอมมากและอ่อนแรงลงเรื่อยๆ (ตอนนี้เป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือนแล้วหลังจากทีม ARK ออกจาก Theta)
เธอบอกว่า เธอมีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องเครื่อง ARK จากน้ำมือของ WAU เมื่อ Simon แสดงตัวว่าตัวเองเข้าใจถึงความสำคัญของ ARK และมีแผนจะเอาไปยิงออกนอกอวกาศอยู่แล้ว Sarah รู้ว่าสภาพตัวเธอเองไม่สามารถทำภารกิจนี้ได้แน่ๆ(และเธอเองก็เหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว) เธอจะยอมยก ARK ให้ Simon จัดการแต่โดยดี ให้คุณเรียกลิฟท์ขึ้นมาและนำ ARK ไปใส่ลิฟท์
มาถึงตอนนี้เธอจะบอกให้เราจบช่วยจบชีวิตเธอซะ โดยการปิดเครื่องมือช่วยชีวิตข้างๆ (ทำไมไม่ทำเองฟะ) ผู้เล่นจะทำตามที่เธอขอหรือไม่ก็ได้ ถ้าเราทำตามขอ เธอจะให้เราอยู่เป็นเพื่อนด้วยจนเธอเสียชีวิต (ในคอมข้างๆมีข้อมูลปลีกย่อยเล็กน้อย)
เมื่อคุณลงมาข้างล่างจะเจอห้องเตรียมดำน้ำ ที่นี่คุณพบว่าระบบปรับแรงดันน้ำมันเจ๊ง (กดทีน้ำนองออกมานอกห้องเลย) กดลิฟท์เรียกให้มันเอา ARK จากชั้นบนลงมาให้
ในล็อคเกอร์อันนึงมีไอแพตของ Catherine ให้คุณอ่านเล่นได้ (บันทึกเกี่ยวกับการเดินทางมาส่ง ARK)
ติดตั้ง ARK กับระบบลำเลียง แล้วแก้ปริศนา(?)ปรับแรงดันน้ำเล็กน้อยด้วยการดึงท่อน้ำให้รั่วออก เมื่อดึงออก 3 จุด แรงดันน้ำในกับนอกจะเท่ากัน ประตูจะเปิดและ ARK จะถูกลำเลียงไปตามราง
บทสรุป part 11 (Alpha)
ARK จะถูกลำเลียงตามรางไป แต่เมื่อถึงจุดนึงคุณจะพบว่ามีกองหินถล่มขวางทางไว้ ARK ถูกลำเลียงข้ามไปได้ แต่คุณต้องหาทางอื่นเพื่อไปยัง Phi
ตรงนี้ถ้าคุณสังเกตุดีๆจะพบว่ามีศพของ Neil Tsiolkovsky โดนทับอยู่ (ซึ่งพี่แกมาร่วมส่งทีม ARK 5 คนไปยัง Phi พอดีมีแผ่นดินไหวแต่พี่แกวางมาดเป็นชิวๆเลยโดนหินทับตายอนาถ -*-)
ตรงนี้ Ross จะวาร์ปมาเพื่อคอยชี้นำให้เราไปยัง site Alpha เราก็เดินลัดเลาะตามทางบังคับไปเรื่อย
สุดท้ายคุณจะมาถึง site Alpha ซึ่งมันเป็นจุดที่มี WAU core มันจึงโดนเกาะกินจนเละเทะที่สุดแล้ว
ขณะ Simon เดินลึกเข้าไป Ross มันจะเริ่มพูดยาวๆได้ละ (ตอนแรกพูดมาทีละประโยคหยั่งกะเล่นเกมส์ทายคำ จะสื่ออะไรทำไมไม่บอกมาละเอียดๆแต่แรกฟะ) Ross จะบอกความประสงค์โดยตรงคือ ต้องการให้ Simon มาทำลาย WAU โดยเล่าว่าตอนที่เขาอยู่ที่ Omicron เขาพยายามสื่อสารให้มีการสร้าง structure gel ที่เป็นพิษกับ WAU จริงๆแล้วมันต้องเอามาทำลาย WAU ที่ Alpha แต่เจ้าหน้าที่ส่วนมากไม่รู้ความสำคัญ มันเลยโดนเก็บในตู้ มีแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง (Raleigh Herber) ที่รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ขณะที่เธอกำลังเคลื่อนไหว WAU ก็กรีดร้อง(คงหมายถึง overload blackbox ฆ่าเจ้าหน้าที่ทั้งสถานีเลย)
เนื่องจาก Simon เอา structure gel ที่ถูกทิ้งไว้ในตู้นั้นมาสร้างเป็นร่างใหม่ มันหมายความว่าตัว Simon ก็เป็นเหมือนงูพิษที่สามารถทำลาย WAU ได้
อย่าว่างู้นงี้เลยนะ Ross แกพูดแต่เรื่องที่แกต้องการนี่หว่า ตั้งแต่ Omicron ก็ชอบแว้บไปๆมาๆให้เสียวเล่น แต่พอเราเจอศัตรู(อย่างไอ้หน้าหนวดใน Tau) พี่แกนี่ไม่เคยโผล่ศีรษะมาช่วยเลย ถ้าตัวเรามันสำคัญขนาดนั้นทำไมไม่ออกมาปกป้องหน่อยฟะ เผลอๆจะโดนตบตายมาไม่ถึง Alpha เอานะเฟ้ย -*- (เข้าใจว่าเป็นสคริปในเกมส์ แต่ก็นะบางอย่างก็ดูไม่สมเหตุสมผล)
เดินฟังแกพล่ามไปเรื่อย สุดท้ายคุณจะมาถึง”หัวใจ”ของ WAU (แลดูคล้ายรูตูดขนาดยักษ์ -_-”) ซึ่งเป็นตัวที่คอยสูบฉีด structure gel ไปทั่วทั้ง PATHOS-II โดย Johan Ross ต้องการให้เราสอดแขนลงไป แล้วพิษในร่างกายเราก็จะถูกสูบฉีดผ่านหัวใจไปทำลายทุกส่วนของ WAU
มาถึงตรงนี้คุณจะมีทางเลือก ทำตามที่ Ross บอกหรือไม่ก็ได้
ต่อให้เราเลือกทำลาย WAU คุณจะพบว่า Ross ก็พยายามจะฆ่าเราอยู่ดี เพราะเขาต้องการให้แน่ใจว่า WAU ถูกทำลายแบบไม่มีทางแก้จริงๆ โดยทำลายคนเดียวที่น่าจะมีภูมิต้านทานต่อพิษแบบ Simon ด้วย (อ้างอิงเหมือนการทำเซรุ่มแก้พิษงู เราจะฉีดพิษงูทีละนิดใส่สิ่งมีชีวิตเพื่อให้เกิดการสร้างภูมิต้านทาน แล้วค่อยสกัดเอาโปรตีนที่เป็นภูมิต้านทานมาใช้ ดังนั้นถ้าทำลายงูพิษทิ้งไปด้วย ก็จะไม่สามารถผลิตยาแก้พิษได้)
แต่ชะรอยหนอนรูตูดตัวเดิมจะทะลุพื้นขึ้นมาสังหาร Ross ให้เรารีบหนีตามท่อออกไปข้างนอกเลย หนอนรูตูดจะตามเราออกมาติดๆ
พอมาถึงตอนนี้คุณต้องหาทางไปยัง Phi โดยหลบหนอนรูตูดไปพลางๆด้วย เทคนิคเดิมที่ให้อยู่ใกล้แสงใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าโดนมันโจมตีมันจะลาก Simon ไปเล็กน้อยและถ้าคุณไม่รีบหาที่หลบก็จะโดนโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิธีหลบก็คือให้คุณพยายามอยู่ในที่กำบัง โดยมันจะมีพวกร่องหินให้คุณหลบตามทางเป็นระยะอยู่แล้ว คอยดูถ้ามันเริ่มว่ายออกไปไกลก็ให้เรารีบพุ่งตัวจากร่องหินนึงไปสู่อีกร่องหินนึง ถ้าโดนโจมตีก็ไม่ต้องลนลานไป เพราะมีที่ให้เติมพลังกระจายอยู่ทั่วๆ
สุดท้ายแล้วคุณจะไปถึงจุดมุ่งหมายสุดท้ายคือ สถานี Phi โดยเห็นลำกล้อง Omega space gun จากระยะไกล
บทสรุป part 12 (Phi)
เมื่อมาถึง Phi ให้เดินตรงไปยังห้องควบคุมหลักและเสียบ Cath ลงไป เธอจะเปิดไปในสถานีให้ ปลดล็อคประตูหลายๆส่วน และเปิดคอมพิวเตอร์บางเครื่อง คุณจะพบว่านี่เป็นสถานีที่ดูสว่าง ดูสะอาด มีการแทรกแซงจาก WAU น้อยที่สุด (ทั้งๆที่มันอยู่ใกล้ Alpha มากๆ)
ถ้าคุณเดินไปดูห้องเก็บของจะพบว่าเสบียงทั้งหมดถูกย้ายไปยัง Tau ตั้งแต่ตอนอพยพแล้ว
ในคอมมีแผนผังของสถานีนี้ โดยเราอยู่ที่จุดสีเขียว จุดสีเหลืองคือ ARK นอกจากนี้ยังมีจุดสีแดงบ่งบอกว่ามี blackbox อันนึงอยู่ชั้นล่าง
มีอธิบายการทำงานของปืนด้วย
1. ดาวเทียมที่ต้องการส่งจะถูกนำไปบรรจุในปลอกกระสุนเฉพาะ
2. ระบบแม่เหล็กไฟฟ้าตามลำกล้องปืนจะเร่งความเร็วกระสุนจนเกินความเร็วหลุดพ้น
3. เมื่อออกไปสู่อวกาศ ปลอกกระสุนจะหลุดออก
4. ดาวเทียมจะกางตัวออก และไอพ่นจะปรับดาวเทียมให้เข้าสู่วงโคจรที่ต้องการ
ข้อมูลควรทราบอื่นๆ
– ลำกล้องปืนยาว 7,290 เมตร ทอดตัวตั้งแต่ก้นมหาสมุทรไปยังผิวน้ำ เนื่องจากลำกล้องยาวมากเลยต้องมาดำเนินการสร้างที่ก้นมหาสมุทร (ไม่ใช่ลำกล้องสั้นๆ แบบยิงออกจากปากกระบอกใต้น้ำแล้วพุ่งขึ้นไปต่อนะครับ แบบนั้นกว่ากระสุนจะฝ่าน้ำไปได้ความเร็วตกพอดี)
– ลำกล้องจะเร่งความเร็วกระสุน โดยเมื่อยิงออกไปจะมีความเร็วประมาณ 42,000 km/h (ขณะที่ความเร็วหลุดพ้นมีค่า 40,320 km/h)
– แม้ว่าชื่อ Omega space gun แต่ปืนนี้ควบคุมการยิงโดยสถานี Phi ส่วนสถานี Omega นั้นอยู่บนผิวน้ำตรงปากกระบอกปืน (ซึ่งโดนทำลายไปหมดตั้งแต่วิกฤตดาวหางชนโลกแล้ว)
ลงมาชั้นล่าง ให้คุณไปรับ ARK และเนื่องจากข้างล่างนี้แต่ละส่วนได้ไฟไม่ทั่วถึง คุณจะพบว่ามันมี battery แค่ก้อนเดียว เราต้องคอยย้ายมันไปใส่ในพื้นที่ใดๆที่เราต้องการ เมื่อคุณได้ ARK ให้เอาไปบรรจุใส่กระสุนเตรียมยิงได้เลย
ตรงจุดโหลด ARK ใส่กระสุน คุณจะพบต้นเหตุของสัญญาณ blackbox อันสุดท้าย นั่นคือศพทีม ARK อีกคนที่เหลืออยู่คือ Catherine นั่นเอง ลองแตะๆดูคุณจะทราบสาเหตุว่า Cath กับ Ian Pederson ขัดแย้งกัน โดย Ian กังวลว่าการยิง ARK ออกไปนั้นมีความเสี่ยงที่มันจะไปไม่ถึงอวกาศ ดังนั้นการเก็บ ARK เอาไว้บนโลกย่อมดีกว่า แต่ทาง Catherine นั้นมุ่งมั่นที่จะยิง ARK เต็มที่ (ตั้งแต่เล่นมาผู้เล่นก็น่าจะรู้ว่า Cath เป็นคนยังไงอะนะ ==) ทาง Sarah ดูเหมือนแอบเห็นด้วยกับ Cath ส่วนทาง Jasper ดูเหมือนจะพยายามประนีประนอมโดยเสนอให้ถอยไปตั้งหลักและตัดสินใจเรื่อง ARK ร่วมกันใหม่ (ส่วน Nicolai ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่แถวนั้น)
สุดท้ายจะเกิดการแก่งแย่ง ARK ระหว่าง Catherine และ Ian โดยทั้ง Jasper และ Sarah ต้องคอยเข้ามาห้ามอย่างพัลวัน สุดท้ายท่ามกลางความวุ่นวาย Ian จะใช้ไขควงทุบหัว Catherine จนเสียชีวิต (เขาบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ) คุณปะติดปะต่อเรื่องได้ จะทราบว่าทีม ARK 4 คนที่เหลือเลยกลับไปยัง Tau ทั้งหมดเสียเวลาอยู่ที่นั่นเพราะตัดสินใจเรื่อง ARK ไม่ได้ จึงไม่คิดจะขึ้นลิฟท์กลับไปยัง Theta สุดท้ายอาจจะด้วยอาหารขาดแคลนและเจ็บป่วย สมาชิก ARK ทีมจึงพากันเสียชีวิต (เหลือแต่ Sarah) ก่อนตาย Ian กล่าวขอโทษ Cath ส่วนทาง Jasper ก่อนตายก็ยอมรับว่าตนตัดสินใจผิดเรื่องที่เก็บ ARK ไว้บนโลก
Cath (ใน cortex chip) ก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าตัวเธอในร่างมนุษย์จะโดนเพื่อนร่วมงานฆ่าตาย สาเหตุที่เธออยากให้ ARK ขึ้นสู่อวกาศเพราะว่ามันจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทำให้ทำงานต่อไปได้อีกเป็นพันๆปี ในขณะที่บนพื้นโลก battery มันจะอยู่ได้แค่ไม่กี่สิบปีแค่นั้น
เมื่อคุณใส่ ARK เขาไปในกระสุนแล้วให้ขึ้นไปชั้นบน Cath จะบอกให้เราไปควบคุมการยิงผ่านทาง pilot seat ด้านนอก เมื่อสั่งยิงตัวเธอจะแสกนทั้ง Simon และเธอเองเข้าไปใน ARK ตอนนั้น
ออกไปด้านนอกเข้าสู่ Lunch dome เสียบ Cath ลงไปในคอนโซลตามเดิมและนั่งบน pilot seat ได้เลย
ตรงนี้จะมีมินิเกมส์(?)ให้เล่นเล็กน้อย โดยคุณต้องใช้ pilot seat บังคับเครนให้เอากระสุนที่โหลด ARK ไว้แล้ว ไปบรรจุใส่ลำกล้องปืนเพื่อเตรียมยิง
สุดท้ายกดปุ่มเพื่อยิง ARK ระบบจะนับเวลาถอยหลัง 20 วินาที ซึ่ง Cath จะใช้จังหวะนั้นแสกนเรากับตัวเธอเองไปใส่ใน ARK (ว่าแต่มันบรรจุอยู่ในกระสุนแล้ว แสกนเข้าไปอีท่าไหนหว่า) ภายใน 20 วินาทีนั้น Simon จะลุ้นมากว่าการแสกนจะเสร็จทันไหม สุดท้ายการแสกนจะเสร็จทันเวลา ARK ถูกยิงออกสู่อวกาศ
และภารกิจอันยาวนานของเราก็จบสิ้นลง…
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายิงออกไปแล้ว Simon ก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม เขาสับสนมากว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ถูกย้ายไปใน ARK ด้วย มันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? Cath โผล่ขึ้นมาบอกว่าการยิงประสบความสำเร็จด้วยดี และเราทั้ง 2 คนก็ถูกแสกนไปอยู่ใน ARK จริงๆ อย่างไรก็ตาม มันเหมือนกับที่ Omicron ที่เป็นการ”copy”ข้อมูลสมอง ไม่ใช่การ”ย้าย”ข้อมูลสมอง ดังนั้นร่างต้นย่อมคงอยู่เหมือนเดิม เธอหยิบคำที่ Simon เคยพูดในลิฟท์มาพูด ว่าเราทั้ง 2 คนก็เหมือนคนที่”แพ้ในการโยนเหรียญ” เหมือน Simon ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ Omicron เหมือน Simon ที่ตายไปเมื่อร้อยปีก่อน เธอยอมรับว่ามันแย่เหลือเกิน แต่เราควรยินดีกับทั้ง 2 คนที่จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ใน ARK เราควรภาคภูมิใจที่ได้ทำให้ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติยังคงอยู่ไปอีกนับพันๆปี
Simon ไม่อยากยอมรับความจริงในข้อนี้ เขากล่าวโทษ Catherine และในขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น ระบบไฟฟ้าของ Phi ก็ขัดข้องจน Catherine ดับไป และ Simon ก็จมอยู่ในความมืดของก้นมหาสมุทรอย่างโดดเดี่ยว…
บทส่งท้าย (Epilogue)
เมื่อจบ credit (หรือกด esc) คุณจะพบว่าเกมส์ยังไม่จบ Simon มาโผล่บนเก้าอี้ที่อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง เขากลับมามีมือครบทั้ง 2 ข้าง รวมถึงมีร่างกายด้วย
เดินออกจากถ้ำ คุณจะพบว่า Simon มาถึงใน ARK แล้วจริงๆ ซึ่งก็เป็นเหมือนเป็นรางวัลให้ทั้ง SImon และผู้เล่น เพราะจากเดิมที่เจอแต่ฉากมืดๆหลอนๆสัตว์ประหลาดมากมาย ใน ARK นั้นร่มรื่นเขียวขจีและน่าอยู่เป็นอย่างมาก
เดินไปเรื่อยๆจะพบว่ามีแบบสอบถาม (อันเดียวกับที่คุณเคยเห็นใน Delta) เกี่ยวกับความรู้สึกของคุณที่มีต่อ ARK (ส่วนตัวมองว่ามันทำให้เรากลับไปคิดถึงความรู้สึกของเราตอนที่ทำแบบสอบถามนี้ครั้งแรกที่ Delta ว่าเราเลือกต่างจากเดิมหรือไม่เพราะอะไร ซึ่งจริงๆทางเลือกอื่นๆในเกมส์ที่ผ่านมามันก็จะเป็นแนวแบบไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องมากนัก แต่มันทำให้เราได้กลับไปคิดเกี่ยวกับทางเลือกนั้นๆในภายหลัง – นี่อาจเป็นวัตถุประสงค์ของทีมพัฒนา)
เดินมาสุดทางคุณจะพบกับท่าเรือที่ใช้ข้ามไปเมืองขนาดใหญ่ตรงหน้า Catherine ยืนรอเราอยู่ที่นั่น เธอจะดีใจที่ได้เห็น Simon และทั้ง 2 คนก็มีความสุขอยู่ใน ARK จริงๆ
ดาวเทียมที่บรรจุ ARK ได้ออกจากโลกที่มอดไหม้ขึ้นสู่อวกาศ และลอยลับไปในห้วงอวกาศอันไกลแสนไกล
========================== เรื่องราวของ SOMA ก็จบบริบูรณ์ =========================
ข้อมูลเพิ่มเติม(สำหรับมโน)
1. ถ้าคุณจำข้อมูลจาก Delta ได้ จะทราบว่า ARK ไม่ได้ลอยไปมั่วๆเคว้งคว้างในอวกาศและไม่ได้โคจรรอบโลก แต่มันปรับวงโคจรของมันให้ไปอยู่ในระยะที่ได้แสงอาทิตย์เหมาะสม คือวงโคจรระหว่างดาวศุกร์และโลก
2. เมืองที่เราเห็นอยู่ไกลๆในฉากจบ จะคล้ายโมเดลที่ปรากฎอยู่ในคอมพิวเตอร์ใน Delta หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันจะกินอาณาบริเวณ 5.11 ตารางกม. หรือประมาณ 3,194 ไร่ หรือประมาณเกือบ 3 เท่าของพื้นที่ทั้งหมดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ในรูปนี่คือ 1,153 ไร่) นอกจากนี้ใน ARK ยังมีพื้นที่อีกมาก ไม่ได้มีเฉพาะเมือง
3. ใน ARK จะมีข้อมูลแสกนสมองของพนักงาน PATHOS-II เท่านั้น โดยส่วนมากถูกแสกน ขณะที่ส่วนน้อยที่ไม่ได้แสกนคือเสียชีวิตไปก่อนหรือโปรเจคถูกสั่งปิดไปก่อน โดยหลังจากออกจาก Theta ทีม ARK ยังไปไล่แสกนเจ้าหน้าที่จากสถานีอื่นๆตามเส้นทางที่ผ่านไปคือ Omicron และ Tau ด้วย (โดยสรุปมีเกือบ 50 คน แบ่งเป็นที่ถูกแสกน 30 คนจาก Theta / 11-12 คนจาก Omicron / 4-5 คนจาก Tau)
4. ที่จริงการแสกนในตอนจบหากคิดตามหลักเหตุผล Simon ควรถูกแสกนก่อน Catherine เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ใน ARK แน่ๆ คนที่รวบรวมข้อมูลการแสกนคือ Catherine ดังนั้นหากเธอคิดจะใส่ legacy scan แบบ Simon เข้าไปแต่แรกเธอน่าจะจำชื่อเขาได้บ้าง แต่ที่ Delta เธอจำชื่อเขาไม่ได้เลย แปลว่าเธอไม่คิดจะใส่เขาเข้าไปในตอนแรกเริ่มโปรเจค (แม้ว่าจะเป็น legacy scan ก็ตาม) ยิ่งไปกว่านั้น Catherine ควรแสกนทีหลังเพราะ ARK มีข้อมูลการแสกนของตัวเธอเองอยู่แล้ว (โดยเธอแสกนตัวเองเป็นคนแรกของโปรเจคนี้)
อย่างไรก็ตามการแสกนทั้ง 2 คนครั้งสุดท้ายมีความสำคัญมาก เพราะนี่ทำให้ Simon ได้ไปกับ ARK ส่วนการที่ Catherine แสกนตัวเธอเข้าไปใน ARK อีกรอบนั้น ทำให้ข้อมูลใน ARK ของเธอ update ไม่งั้นเธอจะมีความจำเท่ากับที่ตอนเริ่มโปรเจค ไม่มีความจำเรื่องราวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับ Simon ตลอดทั้งเกมส์ (ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเขียนทับข้อมูลเดิมเธอใน ARK ไม่งั้นจะมี Cath ใน ARK 2 คน ซึ่ง Simon จะโชคดีเกินไป 555+)
5. Simon เป็นชาวแคนาดา มีอายุประมาณ 27 ปี ส่วน Catherine เป็นชาวไต้หวันอายุ 37 ปี ซึ่งถือว่าเธอแก่กว่า Simon ร่วม 10 ปีทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามหากคุณอ่านเรื่องการโหวตเกี่ยวกับ ARK ใน Theta ผลโหวตส่วนใหญ่เห็นด้วยให้ใน ARK ไม่มีการแก่ชราและไม่มีการเจ็บป่วย (รวมถึง”อาจจะ”ตั้งให้ทุกคนอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่มีร่างกายแข็งแรงที่สุดด้วย)