Overview
Solo Guide from Cleric to Chaplain ฉบับภาษาไทย สำหรับผู้เล่นใหม่หรือผู้ที่สนใจอยากลองเล่น “Cleric” ได้แบบตลอดรอดฝั่งจนกระทั่งก้าวเข้าสู่การเป็น “Chaplain” โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เน้นการบินเดี่ยวเก็บเควส แนะนำอาวุธและชุดที่ใช้ รวมถึงวีธีอัพค่า Status และ Skill ตลอดจนการรับมือกับศัตรูดัวย Buff รูปแบบต่างๆ (พร้อมแนวทางการเล่น Rank 7-8)*ปัจจุบันตัวเกมอัพเดตระบบ Rank ใหม่เป็น Re;build ซึ่งจะปลดล็อกอาชีพให้คุณเลือกได้ตั้งแต่ต้น ข้อมูลในไกด์นี้จึงไม่จำเป็นต่อการเล่นอีกต่อไป
บทนำ – เป็นพระก็บินเดี่ยวได้
ใน Tree of Savior พระหรือสายการเล่นของ “Cleric” เป็นหนึ่งในสายอาชีพที่ทรงพลังไม่แพ้ Class ไหนๆ ด้วยการเล่นที่ทำได้หลายแบบทั้งโจมตีและสนับสนุนทำให้อาชีพนี้เป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้เล่นเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับคนที่เบื่อกับการ Support ผู้เล่นอื่นตลอดเกมและกำลังมองหาหนทางการ “บินเดี่ยว” แบบสบายๆ ด้วยสายอาชีพนี้ ไกด์นี้จะพาคุณไปดูแนวทางการเล่นเบื้องต้นซึ่งผู้เขียนยืนยันได้เลยว่าสามารถเล่นคนเดียวเพื่อเก็บเควสและตบบอสเองได้ตั้งแต่ช่วงต้น-กลางเกม (ไม่นับรวมการลงดันเจี้ยนพิเศษที่ควรจะมาเป็นทีม) มาลองดูกันว่าพระสายนี้มีแนวทางการเล่นยังไง
Update!
01/05/2016 – เพิ่มเทคนืคการเก็บ Level ด้วยตัวคนเดียว Part 1-2
18/05/2017 – แก้ไขคุณสมบัติ Stone Skin
02/02/2018 – เพิ่มเติม Rank 6-7, อัพเดตข้อมูลการเล่นบางส่วนให้เหมาะกับปี 2018, แก้ไขเพิ่มเติม Reference
สไตล์การเล่น – จุดเด่นและจุดด้อย
เข้าประเด็นกันเลยแบบไม่อ้อมค้อม เนื่องจากผู้เขียนชอบทำอะไรคนเดียวและเพื่อนฝูงส่วนใหญ่มักเล่นเกมไม่ค่อยเป็นเวลาตรงกันนัก งานนี้จึงต้องมองหาสายอาชีพที่ดูแลตัวเองได้ตลอดรอดฝั่งแบบง่ายๆ และอาชีพที่มันเข้าตาที่สุดก็เห็นจะเป็น Build “สายหวด” ที่ไม่มีอะไรซับซ้อนของ Cleric นี่แหละ การเล่นสายนี้เน้นการ Buff ตัวเองและตีเองเป็นหลัก แม้จะไม่ค่อยพลิกแพลงมากแต่ก็มีประสิทธิภาพดีในหลายสถานการณ์ หวดบอสเองได้ เลือดลดก็รักษาตัวเองได้ ไม่ต้องเปลืองยาหรือนั่งก่อไฟให้เสียเวลา (ทั้งยังสามารถ Boss Rush ที่ดันเจี้ยน 90 ได้คนเดียวแบบสบายๆ อีกในช่วงต้น)
ด้วยทักษะอย่าง Safety Zone และ Stone Skin ทำให้คุณยืนชนมอนส์ได้ในระดับนึง และ Buff อย่าง Blessing, Sacrament, Last Rites ไปจนถึง Aspergillum ก็ทำให้คุณจัดการศัตรูได้เร็วขึ้น ทั้งยังมีทักษะด้านการรักษาและป้องกันอีกหยิบมือเป็นตัวช่วยตลอดการเล่น การเอาตัวรอดจากศัตรูจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก สำหรับข้อดีข้อเสียของ Build นี้ก็มีพอกันทั้งคู่ แต่จุดด้อยส่วนใหญ่ก็ใช้เทคนิคการเล่นเข้าทดแทนได้ ตามนี้
- ตีเองได้ Support ได้บ้าง Solo ได้เองสบายๆ ไม่ต้องพึ่งพาใคร
- สไตล์การเล่นที่ง่าย Buff>ตี>Heal วนไปมา
- ไม่เปลืองค่ายา เพราะตีเองเจ็บเองและรักษาตัวเองได้หมด เอาตังไปลงทุนเล่นหุ้นในตลาดได้เลย
- ไอเทมสำหรับสายนี้ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก ถ้าหาชุดและอาวุธได้แทบไม่ต้องเปลี่ยนอะไรอีกเลยทั้งเกม (หรืออย่างน้อยก็จนกว่าจะมีไอเทมใหม่ที่ดีกว่า)
- Status และสไตล์การเล่นแบบเป็ดๆ ทำให้ปรับตัวได้ดีในหลายสถานการณ์
- ด้วยพลานุภาพของทักษะ Stone Skin ช่วยลดความเสียหายจากการโจมตีบางรูปแบบ ขณะใช้งานประกอบกับถ้าคุณอัพ SPR มามากพอด้วยแล้ว การโจมตีทางกายภาพใส่คุณแทบจะติด Block ทุกครั้งและไม่สร้างความเสียหายใดๆเลย
- สร้างมาเพื่อบินเดี่ยวโดยเฉพาะ ครั้นจะไปเล่น Support ให้ชาวบ้านก็จะได้แบบครึ่งๆ กลางๆ อาจโดนด่าได้ง่ายๆ ในปาร์ตี้ที่ซีเรียส
- สไตล์การเล่นที่พลิกแพลงไม่ได้มากนักเพราะเน้น Buff แล้วฟาดรัวๆ ตลอดเกม
- เจอศัตรูที่เกราะหนาหรือมาเยอะอาจจะจัดการได้ช้ากว่าอาชีพอื่น
- AOE ในการโจมตีด้วยอาวุธแคบมาก สามารถตีมอนได้สูงสุดแค่ 3 ตัวต่อครั้ง (และมอนต้องยืนชิดกันในมุมที่อาวุธฟาดถึงด้วย)
- ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่สุดเลยซักอย่างทั้ง Buff, Debuff ตีเองรักษาเองจนเรียกได้ว่า “สายเป็ด(ไม่)น้อย”
- อาวุธที่ดีที่สุดกับสายนี้ค่อนข้างหายากหรือถ้าซื้อขายก็มีราคาแพงมาก และถ้าจะไปล่าคุณก็ต้องอาศัยดวงกับความอดทนจริงๆ
- ชุดที่ใช้ตลอดชีพหาได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกม ค่าพลังป้องกันจึงไม่มากนัก โดนมอนเวลสูงๆ ช่วงหลังหวดทีอาจมีร้องได้ ทำให้การยืนชนและเข้าตีต้องอาศัยเทคนิคส่วนตัวของผู้เล่นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- Skill หลายตัวจำพวก Buff ต้องใช้ไอเทมเฉพาะ ซึ่งคุณต้องเสียเงินซื้อมาใช้ทีละมากๆ
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Stone Skin ช่วยลดความเสียหายโดนการฟัน การแทงและยิงด้วยธนูหรือปืนจากมอนสเตอร์หรือผู้เล่นที่โจมตีแบบ Physical Attack ดังนั้นปัญหาใหญ่ของสายนี้ก็คือ มักจะรับมือกับกลุ่มมอนสเตอร์ที่ใช้การโจมตีเป็น Magic Attack ไม่ไหว ประกอบกับชุดหลักๆ ที่ใช้เราก็จะแทบไม่ได้เปลี่ยนเลย (จะอธิบายเพิ่มในส่วนอุปกรณ์) ค่า Magic Def จึงไปขึ้นอยู่กับสร้อยและกำไรข้อมือชนิดตามมีตามเกิด ดังนั้นสิ่งที่จะพอช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ก็คือ คุณควรจะต้องรู้ว่าแผนที่ที่คุณกำลังเล่นอยู่ มอนสเตอร์ตัวไหนมีการโจมตีแบบใด (เช่นเดียวกับที่คนเล่นพระสาย Support ต้องรู้เพื่อจะได้ Buff และ Debuff ถูก) หลีกเลี่ยงการปะทะศัตรูกลุ่มใหญ่ถ้าคุณไม่มั่นใจว่ารับมือได้ ถ้าคุณเรียนรู้จุดนี้ประกอบกับใช้ทักษะได้อย่างคล่องตัวและไม่บ้าพลังไปตีมอนที่ Level เกินตัวมากนัก โอกาสที่คุณจะนอนนั้นแทบจะไม่มีเลยตลอดการเล่นครับ
แนวทางการอัพค่า Status
สายนี้จะเน้นทำความเสียหายจากการโจมตีแบบ Physical เป็นหลัก (ส่วนความเสียหายรองก็มาจากการ Buff เองตีเองด้วยอาวุธล้วนๆ) ดังนั้น INT จึงไม่มีความจำเป็นในการเล่นเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนเน้นความอึดของตัวละครในการยืนชนและตีได้ยาวๆ แทนช่วงต้นและกลางเกม เป้าหมายในการอัพ Status จึงเน้นไปที่ CON เป็นส่วนใหญ่ จากนั้นพอคุณเปลี่ยน Class เข้าสู่ Rank 5 แล้ว ตรงนี้จะต้องเลือกว่าจะเน้นตีแรงโดยการอัพ STR หรือจะเน้นเซฟตัวเองมากขึ้นโดยการอัพ SPR ค่า Status ที่ผมเน้นอัพอาจจะไม่สุดไปที่ทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้การเล่นโดยรวมนั้นง่าย (เป็ดนั่นแหละ) คุณสามารถเอาแนวทางไปปรับเปลี่ยนลองดูเองได้ถ้าต้องการเทไปสุดที่ค่าใดค่าหนึ่ง ตอนนี้มาดูเลยว่าผมเน้นอัพค่าอะไรยังไง
*ค่า INT ในรูปเกิดจากโบนัสของ Collection และกำไรข้อมือ ไม่ได่มาจากการอัพ Status ครับ
- CON – ค่า status พื้นฐานที่คุณสามารถอัพได้ตั้งแต่แรก เป้าหมายอย่างน้อยอยู่ที่ 100 แต้ม โดยจะอัพแบบสลับกับ STR หรือหวดยาวทีเดียวเลยก็ได้ พอหลังจากครบ 100 แล้วค่อยเทไปค่าอื่นเช่น STR, SPR หรือถ้าคิดว่าเลือดน้อยไปจะอัพต่อไปอีกก็ตามสะดวก (แต่ผมว่าเอาไปเทลงค่าอื่นดีกว่า)
- STR – หลังจากอัพ CON จนครบตามเป้า ใครที่เน้นหวดแรงสามารถเทค่านี้ไปยาวๆ ได้เลยครับ แต่ผมจะใช้การอัพสลับกับ SPR โดยยอมลดความแรงในการตีลงมาหน่อยแลกกับประสิทธิภาพของการ Block จาก Skill ‘Stone Skin’ ที่ดีขึ้น (ซึ่งมันช่วยชีวิตคุณได้ดีมากช่วงกลาง-ปลายเกม)
- SPR – ช่วยเพิ่ม Mana และเพิ่มอัตราการ Block ของ Skill Stone Skin ของ Priest ถ้าสไตล์การเล่นของคุณมีการ Support ในดันเจี้ยนด้วยค่านี้ก็มีความสำคัญ หลังจาก CON ถึงเป้าถ้าเน้นการเล่นแบบเซฟตัวเองก็สามารถอัพค่านี้ไปให้มากที่สุดเลยก็ได้ แต่ผมจะให้ความสำคัญรองลงมาจาก STR ครับ
- DEX – ค่านี้เพิ่มอัตราการหลบหลีกและติด Critical แต่เนื่องจากเราเน้นการฟาดรัวๆ เล่นกับ Buff และ Debuff จึงไม่จำเป็นต้องอัพเลย โอกาศฟาดแล้วติด Cri นั้นแทบไม่ต้องสนใจอยู่แล้ว
- INT – แน่นอนว่าเราไม่ได้มาสาย Support หรือทำ Damage จาก Skill เลย ดังนั้นเราจึงไม่สนใจค่านี้เลย
การเลือก Class และ Skill
เกมนี้เลือก Class ผิดชีวิตเปลี่ยนทันที! เพราะคุณไม่สามารถเลือกใหม่ได้ ที่ทำได้คือเล่นใหม่เลยอย่างเดียว เกมนี้แบ่ง Class ออกเป็นทั้งหมด 7 Rank โดยคุณจะสามารถเลือก Class ได้ทุกๆ 15 Job Level ครับ สำหรับสายการเล่นที่อธิบายในไกด์นี้จะวางพื้นฐานไว้แค่ Rank 5 โดยเน้นการสร้างความเสียหายจากการตีรัวโดยใช้ Buff ให้ตัวเองเป็นหลัก แนวทางการเลือก Class เพื่อให้ไปสู่ Chaplain ได้ไวที่สุดจึงออกมาแบบนี้
สำหรับการเลือก Skill ที่ใช้และวีธีการอัพผมจะอธิบายไว้ในส่วน Rank ต่างๆครับ
RANK 1 – Cleric Circle 1
ถ้าคุณเล่นสายนี้แน่นอนว่าอาชีพแรกต้องหนีไม่พ้น Cleric สำหรับการอัพ Skill พื้นฐานว่าควรเลือกอะไรก่อนหลังยังไง ผมพิจารณาดังต่อไปนี้
นอกจากจะใช้รักษายังสามารถใช้สร้างความเสียหายใส่ศัตรูได้ด้วย โดย Heal ของ Clericในเกมนี้จะเป็นแบบบริการตัวเอง คือร่ายลงไปที่พื้นให้ผู้เล่นอื่นรวมถึงตัวคุณเองมาเหยียบ (ศัตรูมาเหยียบก็เกิดความเสียหายแทน) โดย Level ของ Skill ที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มจำนวนช่องในการ Heal ต่อครั้งที่ร่าย ที่ level 5 ก็จะมี 5 ช่องและแน่นอนว่าก็ต้องอัพให้เต็ม 5 ระดับนั่นล่ะครับ ค่าความแรงของ Skill นี้อยู่ที่ INT ซึ่งเราจะไม่อัพอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงจะไม่ได้ใช้ทักษะนี้ในการโจมตีเป็นหลัก แต่จะเน้นไปที่การรักษาแทน
ทักษะคู่บุญสำหรับใช้ในการยืนชนช่วงแรก การอัพเต็มระดับ 5 จะกันการโจมตีได้ 10 ครั้ง ส่วนการใช้งานนั้นก็แค่ร่ายแล้วคุณก็เข้าไปยืนอยู่ในช่องครับ เสมือนมีเกราะกำบังชั่วคราวแวบนึง คุณสามารถเพิ่มรัศมีของการป้องกันของทักษะนี้ได้อีกนิดโดยการไปเรียน Attribute จาก NPC Cleric ในเมือง (ใช้เงิน) แน่นอนว่าเป็น Skill ที่ควรอัพเต็มเช่นกัน เพราะมันจะทำให้การรับมือกับศัตรูนั้นง่ายขึ้น ทักษะนี้ป้องกันแค่ความเสียหายที่จะเกิดกับคุณเท่านั้น มันไม่ได้ป้องกันลักษณะผิดปกติที่เกิดจากการโจมตี เช่น ถูกแช่แข็งหรือโดน Knock Back ครับ
เป็น DeBuff ที่มีการใช้งานง่ายๆ คือร่ายลงบนพื้น ศัตรูที่มาเหยียบโดนพลังป้องกันจะลดลงทำให้คุณโจมตีพวกมันได้แรงขึ้น Skill นี้ไม่สร้างความเสียหายใดๆ เน้นใช้เพื่อลดการป้องกันของศัตรูมากกว่า คุณอาจจะอัพเต็ม 5 เลยก็ได้ แต่สำหรับผมขออัพแค่ 4 และเอาอีก 1 แต้มไปลงกับ Cure ครับ
เป็นทักษะที่ใช้รักษา (รักษานะ ไม่ใช่ป้องกัน) ค่าสถานะผิดปกติระดับที่ 1 ทุกรูปแบบ เช่น ติด Slow ติดพิษ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้สร้างความเสียหายกับศัตรูได้ด้วย ผมเลือกอัพแค่ระดับแรกเพราะเราไม่ใช้มันในการทำ damage เป็นหลักอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเราจะไม่มี Skill สำหรับรักษาสถานะผิดปกติใดๆ เลยจนกว่าจะผ่าน Rank 5 ไป ดังนั้นจึงขออัพไว้ใช้เผื่อฉุกเฉินครับ
RANK 2 – Priest Circle 1
การก้าวเข้าสู่การเป็น Priest แบบเต็มตัวจะเริ่มต้นที่จุดนี้ แต่วิธีการเล่นของสายเราในช่วงนี้จะเป็นลูกผสมระหว่างการลุยเอง+Support (ให้ตัวเองและผู้อื่นบ้างในบางกรณี) แต่ก่อนอื่นเลยไปดูไอเทมจำเป็นที่พระไม่ว่าจะสายซับหรือบู๊ต้องมีติดตัวไว้ตลอดได้แก่
ไอเทมเหล่านี้สามารถหาซื้อได้จาก NPC Priest ในเมืองและมันจำเป็นสำหรับใช้ในการร่าย Buff ต่างตามนี้
- Holy Water – น้ำมนต์นี้จำเป็นในการร่ายทักษะอย่าง Aspersion (และ Aspergillum ของ Chaplain) ใช้ 1 ขวดต่อการร่าย 1 ครั้ง
- Holy Powder – สำหรับใช้ในการร่าย Blessing ซึ่งเป็นทักษะที่ใช้บ่อยมาก แทบจะใช้ทุกครั้งถ้าคุณต้องการจัดการศัตรูให้เร็วและสร้างความเสียหายให้ได้สูงสุด
- Gyslotis – ใช้ในการร่าย Sacrament (และ Last Rites ของ Chaplain) ใช้ 1 ใบต่อการร่าย 1 ครั้ง
Skill สามัญประจำตัวที่ต้องมีและอัพให้เต็มให้เร็วที่สุด โดยผลของ Blessing จะช่วยเพิ่ม Damage เข้าไปในการโจมตีปกติ (ไม่ได้สร้าง Hit ใหม่) ทำให้การโจมตีนั้นแรงขึ้นกว่าเดิม ระยะเวลาที่ Skill มีผลคือ 45 วินาที และมีการ Cooldown ก่อนใช้ซ้ำได้อีกที่ 35 วินาที ทำให้ Skill นี้สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน (แน่นอนว่าเปลือง Holy Powder ได้ใจ) การอัพระดับเพิ่มจะไม่เพิ่มระยะเวลาแต่จะเพิ่มพลังโจมตีที่ได้และจำนวนครั้งในการโจมตีที่ Skill นี้ส่งผลแทน การใช้งานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ อัพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และไปเรียน Attribute ที่ชื่อ Blessing Attack Count และ Blessing Enhance จาก NPC Priest ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เงินของคุณจะซื้อได้ครับ
ทักษะในการชุบชีวิตผู้อื่นและยังสามารถใช้ผลักมอนส์เตอร์ให้กระเด็นออกไปไกลๆ พร้อมกับสร้างความเสียหายได้เล็กน้อยเป็นของแถม รัศมีการใช้งานนั้นจะร่ายออกมาด้านหน้าของผู้ใช้ในรูปทรงกรวย จำนวนคนที่ชุบได้ในคราเดียวและระยะเวลาในการร่ายที่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ Level ของ Skill ที่เราอัพครับ สำหรับทักษะนี้เต็มที่ผมลงไว้แค่ 1 แต้มเท่านั้น เอาแค่พอใช้งานเมื่อจำเป็น
เป็นทักษะ Buff และยังสามารถใช้โจมตีศัตรูได้ตอนที่ร่าย เมื่อกดใช้งานตัวเราจะทำการสาดน้ำมนต์ไปด้านหน้า (ใช้ Holy Water 1 ขวดในการร่าย) หากโดนศัตรูจะสร้างความเสียหายแบบ Holy ด้วย (ความแรงคือ Level Skill+ SPR) ผู้เล่นที่อยู่ในปาร์ตี้หรือตัวคุณเองจะได้รับค่าพลังป้องกันด้านกายภาพทันทีที่ร่ายโดยไม่จำเป็นต้องโดนน้ำมนต์เป็นเวลา 120 วินาที ระดับของทักษะนี้จะส่งผลไปยังความรุนแรงของ Skill ‘Aspergillum’ เมื่อคุณเปลี่ยนเป็น Chaplain ตอน Rank 5 ด้วย แต่ใน Priest1 สายหวดนั้นยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เท่าไรนัก
เป็น Buff และ Debuff ในตัวเอง ทักษะนี้ช่วยเพิ่มค่า Dex ให้กับเพื่อนในทีมและหากศัตรูมาโดนบริเวณที่ร่าย Skill ไว้ อัตราการหลบหลีกและพลังป้องกันก็จะลดลงด้วย การร่ายทักษะนี้ไม่ต้องใช้อะไร เสียแค่ Mana อย่างเดียว
RANK 3 – Priest Circle 2
เข้าสู่ Priest Circle 2 แล้ว ตอนนี้เราจะได้ทักษะใหม่เพิ่มมาอีก 3 ทักษะคือ Mass Heal, Sacrament และ Revive ซึ่งตรงนี้การเลือกอัพทักษะจะแบ่งได้อีก 2 กรณีคือ
- ถ้าคุณอดทนเก็บแต้มไว้อย่างที่ผมบอกจากช่วง Rank 2 คุณจะสามารถอัพ Blessing และ Sacrament ได้เต็มทันทีตั้งแต่การเปลี่ยน Job Level แรกใน Rank 3 ทำให้การลุยเดี่ยวตีไปบัฟไปมีประสิทธิภาพมาก สร้างความเสียหายได้เต็มที่ตั้งแต่เริ่ม Rank 3 เลย
- ถ้าคุณอัพ Skill อื่นๆ ในช่วง Rank 2 ไปด้วยและไม่ได้เก็บไว้ 10 แต้ม ตรงนี้ผมแนะนำให้เอาแต้มที่เหลือเทใส่ Sacrament ให้เต็มก่อนครับ เพราะคุณจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดของ Skill นี้ตั้งแต่เริ่มในขณะที่คุณมี Blessing บางส่วนอยู่แล้ว หากร่ายพร้อมกัน ก็สามารถสร้างความเสียหายได้มากอยู่ และการอัพระดับ Sacrament นั้นจะช่วยเพิ่มระยะเวลาของ Skill ด้วย ทำให้ประหยัดการใช้ไอเทมในการร่ายไปในตัว เพราะไม่ต้องร่ายบ่อยนั่นเอง
เป็น Buff ที่ร่ายแล้วผู้ใช้และคนในปาร์ตี้จะได้พลังโจมตีธาตุ Holy เพิ่มเติมเข้ามา และการโจมตีจะสร้าง Hit ใหม่แยกออกมาอีก 1 ครั้งด้วย จึงเป็นอีก Skill ที่ขาดไม่ได้สำหรับสายหวดรัวอย่างเรา ตัว Buff เองถ้าอัพสูงสุดเวล 10 จะอยู่ได้ประมาณ 6 นาทีกว่าๆ การร่ายครั้งนึงจะต้องใช้ Gyslotis ด้วย 1 อัน ความพิเศษของทักษะนี้ยังไม่หมดเพราะถ้าคุณไปเรียน Attribute ของ Skill นี้เพิ่มเติม ทุกครั้งที่คุณร่ายมันคุณจะได้พลังป้องกันศัตรูธาตุ Dark เพิ่มขึ้นด้วยครับ เหมาะมากในการลุยกับศัตรูธาตุ Dark ที่แพ้ธาตุ Holy โดยเฉพาะ
ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า “ฮีลหมู่” เป็นทักษะการรักษาแบบกลุ่ม สามารถกดใช้ใส่ตัวได้ทันทีโดยจะมีผลกับผู้ร่ายและผู้ที่อยู่ด้านหน้าตัวละครของผู้ร่ายเท่านั้น รัศมีของ Skill จะเป็นวงกลมกว้างประมาณ 10 ช่อง ใครที่อยู่ในในรัศมีขณะร่ายก็รับฮีลกันไปเต็มๆ ความแรงของ Skill นี้คิดจาก (100+INT+SPR+ระดับ Skill) ซึ่งต่อให้คุณไม่ได้อัพ INT มาเลยแต่มี SPR อยู่บ้างที่ระดับ 10 ก็รักษาได้แรงอยู่ครับ เป็นฮีลฉุกเฉินที่ผมใช้บ่อยมาก มากกว่า Heal ของ Cleric ซะอีกเพราะสะดวกกว่า แต่ Skill นี้ไม่สร้างความเสียหายกับศัตรูและมีระยะ Cooldown อยู่ที่ 30 วินาที สามารถร่ายฟรีเสียแค่ Mana เท่านั้นด้วย
เป็นทักษะป้องกัน “การวูบ” แบบไม่ทันตั้งตัว (ตายนั่นแหละ) การใช้งานก็ง่ายๆ เมื่อร่ายทักษะนี้ผู้ร่ายและคนในปาร์ตี้จะได้รับการป้องกันการตายภายในระยะเวลาที่ Skill กำหนด ระหว่างนี้หากผู้ที่ได้รับผลของ Skill ถูกโจมตีจนตายพวกเขาจะไม่ตายทันที แต่จะฟื้นขึ้นมาใหม่เดี๋ยวนั้นพร้อมกับ HP เล็กน้อยและมีสถานะคงกระพันตามระดับที่ Skill กำหนด (แล้วผลของ Skill จะหายไปทันที) ระยะเวลาของ Skill นี้ครอบคลุมผู้ใช้ประมาณ 90 วินาที และมี Cooldown 120 วินาทีครับ คุณสามารถเรียน Attribute เพื่อยืดเวลาเพิ่มเติมได้ด้วย โดยรวมทักษะนี้มีติดไว้ก็ดี กันคุณพลาดในกรณีลุยเดี่ยวหรือตีบอสที่พลังโจมตีสูง ส่วนการใช้งานเป็นปาร์ตี้ก็ค่อนข้างมีประโยชน์ไม่ว่าคุณจะอัพมันมาที่ระดับใดก็ตาม ในที่นี้ผมเลือกอัพแค่ 1 เอาแค่พอใช้งานเพราะเล่นมาก็แทบจะไม่ตายเลยซักครั้งอยู่แล้ว เอาแต้มไปรอลงทักษะอื่นแทนครับ
RANK 4 – Priest Circle 3
ใกล้ความจริงเข้ามาทุกทีแล้วที่จะได้เปลี่ยนเป็น Chaplain แต่ก่อนอื่นเราต้องผ่านการเล่น Priest Circle 3 นี่ซะก่อน การเล่นที่ระดับนี้ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจาก Rank ก่อนๆนัก จุดนี้เราจะได้ทักษะเพิ่มมาอีก 2 อย่างคือ Exorcise และ Stone Skin ซึ่งทั้งคู่มีคุณสมบัติดังนี้
*แพทในปี 2017 เปลี่ยนความสามารถของ Skill นี้เนื่องจากความสามารถเดิมมันเทพเกิน (Block การโจมตีไร้ความเสียหาย) กลายเป็นลดดาเมจลงเป็น % แทน โดยที่ LV 5 จะลด 20% และจะจำกัดรูปแบบการโจมตีที่มีผลกับ Skill นี้ด้วย เป็น Buff ระดับเกือบเทพที่เรารอคอย เมื่อร่ายแล้วจะเพิ่มค่าการ Block การโจมตีกายภาพ (Physical Attack) ให้แก่ผู้ร่ายและคนในปาร์ตี้ 35 วินาที ค่าการ Block คำนวนจากระดับของ ทักษะรวมกับค่า (SPRx4) แปลว่ายิ่งคุณมีค่า SPR มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้มีโอกาสติด Block มากขึ้นตามไปด้วย เป็นทักษะที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสายลุยเดี่ยวไม่ว่าคุณจะเน้นอัพ STR หรือ SPR ก็ตาม ย้ำอีกทีว่า Skill นี้กันการโจมตีแบบ Physical เท่านั้น ถ้าไปยืนร่ายกลางดงมอนที่ยิงเป็นเวทย์ล้วนๆ คุณอาจได้นอนฟรีฮะ
ทักษะโจมตีที่ใช้ร่ายลงพื้นรอให้ศัตรูมาเหยียบเพื่อสร้างความเสียหาย แน่นอนว่าสายหวดของเราจะไม่อัพเลย ดังนั้นข้ามๆไปเถอะ
- สำหรับคนที่เน้นการอัพ SPR เป็นหลักมากกว่า STR ให้เทใส่ทักษะ Stone Skin จนเต็มตั้งแต่เริ่ม คุณจะได้ประสิทธิภาพจากการป้องกันสูงมาก เรียกว่าแทบจะคงกระพันในการรับมือกับศัตรูที่โจมตีกายภาพหรือมีการโจมตีทะลุทะลวงต่ำ-ปานกลางไปเลย แถมการป้องกันนี้ก็ไม่สน Hit ด้วยว่าจะโดนกี่ครั้งเพราะมันจะมีผลจนกว่า Skill จะหมดเวลา (ส่วนแต้มที่เหลือ 1 นั้นจะลง Blessing หรือ Sacrament ก็ตามศรัทธาเลย)
- สำหรับผู้ที่เน้น STA ตบแรงๆ เป็นหลัก ให้เทแต้มที่มีใส่ Sacrament ไปเลยให้เต็ม แล้วอีก 1 แต้มให้ลง Stone Skin
หลักๆ เลยในการอัพ Skill ของ Rank นี้ คุณควรจะอัพ Blessing, Sacrament และ Stone Skin ให้เต็ม หลังจากนั้นต้องชั่งใจเอาว่าจะเน้นฮีลแรงๆ โดยเทลง Mass Heal ให้เต็ม 10 หรือจะเก็บแต้มที่เหลือไปเทใส่ Aspersion เพื่อ Buff การตีให้แรงขึ้นไปอีกเมื่อคุณเปลี่ยนเป็น Chaplain ถ้าคุณเลือกเท Mass Heal ให้เต็มแบบผมคุณจะเหลือแต้มไปลง Aspersion เพิ่มเติมได้แค่แต้มเดียวครับ
UPDATE – 2018 เนื่องจาก Stone Skin ถูกปรับให้กลายเป็นการใช้เพื่อลดความสามารถทางกายภาพ คุณจึงอาจไม่จำเป็นต้องอัพถึง 5 ขั้นก็ได้ เพราะความอึดของพระสายนี้ก็สูงพอจะชนกับมอนสเตอร์ได้ยัน Level 300 อยู่แล้วครับ คุณอาจจะเลือกอัพแค่ 1 ขั้น แล้วเก็บแต้มไปลงอย่างอื่นก็ได้เช่นกัน (ใช้น้ำยา Reset Skill point)
**จากประสบการณ์ใช้งานจริง Aspersion แค่ระดับ 2 บวกกับการอัพ Attribut ที่ LV50 ก็ทำให้ Aspergillum ตีแรงมากพอสมควร ซึ่งสำหรับผมถือว่าเพียงพอ แต่ถ้าคุณต้องการความแรงมากกว่านั้น ก็ต้องหาทางอัพ Aspersion เพิ่มเติมเอาครับ
RANK 5 – Chaplain
*เครดิตภาพประกอบจากฟอรั่ม ToS
ในที่สุดเราก็มาถึงการเปลี่ยนสู่อาชีพลับอย่าง Chaplain กันซะที เหตุผลหลักที่ผมเลือกเป็น Chaplain ใน Rank นี้เลยนั่นก็เพราะ Skill อย่าง Last Rites และ Aspergillum จะทำให้การตีรัวและแรงของ Priest ที่เลือกเล่นสายนี้สมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก ส่วนเหตุผลรองก็คือ มันเป็นอาชีพลับที่มีการ Advancement ที่ไม่ธรรมดา (คือไม่มีให้เลือกแต่แรก ต้องทำเควสลับ ซึ่งเดี๋ยวจะอธิบายต่อไป) และยังมีชุดสีฟ้าเท่ๆ สไตล์ผ้ายีนต์เป็นของตอบแทนด้วย สไตล์การเล่นก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเดิมนัก เน้น Buff>หวด>Heal วนไปมาเหมือนเดิม แต่การจัดการศัตรูนั้นจะรวดเร็วขึ้นอย่างมากเพราะมี Buff เสริมเข้ามาอีก 2 ตัว (แน่นอนว่าเปลืองไอเทมตอนกดใช้เพิ่มขึ้นอีก) มาดูกันว่าทักษะของอาชีพนี้มีอะไรกันบ้างและจะอัพอะไรยังไง
เป็น Buff ที่จะเพิ่มพลังโจมตีธาตุ Holy ให้กับผู้ร่ายและสมาชิกในปาร์ตี้ชั่วขณะ โดยจะสร้างเป็น Hit ใหม่ในการโจมตีแยกออกมาเลย ความแรงจะคำนวนจากระดับของทักษะ Sacrament และหาก HP ของผู้ร่ายต่ำกว่า 40% การโจมตีก็จะแรงขึ้นไปอีก (คุณสามารถเพิ่มขีดจำกัดขั้นต่ำของ %HP ให้สูงขึ้นได้โดยการไปเรียน Attribute เพิ่มจาก NPCChaplian Master ครับ)
ทักษะโจมตีด้วยธาตุ Holy ซึ่งต่อยอดมาจาก Skill ‘Exorcise’ ของ Priest แต่ด้วย Status ที่เราเล่นนั้นไม่รองรับประกอบกับไม่ได้อัพ Skill ต้นทางมาเลย เราจึงได้แต่มองและผ่านไปฮะ
เป็นการสะบัดผ้าปูและตั้งโต๊ะเพื่อสร้าง Buff ทั้งหมดของ Priest ให้กับผู้ที่อยู่ในระยะของ Skill ในคราเดียว Buff ที่ได้ก็จะมีตั้งแต่ Blessing, Aspersion, Monstrance, Sacrament และ Stone Skin ส่วนความแรงของ Buff แต่ละตัวก็อยู่ที่ผู้ร่ายว่าอัพ Skill พวกนั้นมาที่ระดับไหน โต๊ะปล่อย Buff นี้จะตั้งอยู่นาน 60 วินาทีส่วนผลของ Buff จะยาวนานแค่ไหนก็อยู่ที่ระดับของ Deploy Capella ครับ ในการใช้งานจริงนั้นถ้าคุณเน้นการลุยเดี่ยวเป็นหลักทักษะนี้ก็แทบจะไม่ได้ใช้ เพราะคุณสามารถกด Buff จาก Skill ของ Priest ได้อยู่แล้ว แถมเจ้าผ้าปูโต๊ะที่ใช้ต่อครั้งก็มีราคาแพงถึง 1000 ต่อชิ้น (ใช้ 1 ผืนต่อการร่าย 1 ครั้ง หาซื้อได้จาก Chaplain Master) มันจึงเป็นทักษะที่เหมาะกับการใช้ Support ปาร์ตี้มากกว่า แต่เนื่องจากว่าเราจะไม่อัพ Magnus อยู่แล้ว แต้มเหลือๆ ก็เอาลงที่นี่ไปได้เลยเต็มๆ 5 ระดับ เพราะมันก็ยังมีประโยชน์ในการใช้เล่นร่วมกับคนอื่นอยู่โดยเฉพาะการลงดันเจี้ยน
อีกหนึ่งทักษะ Buff การโจมตีของคุณ เมื่อกดร่ายจะเป็นการราดน้ำมนต์ใส่อาวุธเพื่อเพิ่มพลังธาตุ Holy (เสีย Holy Water 1 ขวด) ส่งผลให้ทุกครั้งที่โจมตีศัตรูจะเหมือนโดนสาดน้ำมนต์ไปด้วย ความแรงของการโจมตีขึ้นอยู่กับระดับของ Skill ‘Aspersion’ ว่าอัพมามากน้อยเพียงใด ส่วนระยะเวลาของทักษะนี้สูงสุดที่ระดับ 5 อยู่ที่ 50 วินาที ในการใช้งานจริงนั้นเรียกว่าเป็นอีก Buff ที่ขาดไม่ได้ของสายหวดเพราะมันจะทำให้ตีแรงมากขึ้นไปอีก และการไปเรียน Attribute ของ Skill Aspersion ก็จะทำให้ผลการโจมตีแรงมากขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ดีถ้าคุณกะจะเล่น Skill นี้แบบเต็มๆ คุณอาจต้องยอมลดแต้มในการอัพ Mass Heal ช่วงเป็น Priest ลงซักนิดแล้วเอาไปเทใส่ Aspersion แทนครับ
*หลายตัวก็สบายถ้าคุณรู้จักศัตรูและใช้ Buff ได้คล่องๆ ยิ่งตัวๆด้วยแล้วหายห่วงเลยสำหรับสายนี้
สิ้นสุดการเดินทางสู่การเปลี่ยนเป็น Chaplain กันซะที แต่การเดินทางทั้งหมดยังไม่จบเพราะยังคงเหลือ Rank 6 กับ 7 ให้คุณได้ไปค้นหาตัวตนกันต่อไป จากจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วครับว่าจะต่อยอดไปทางไหน (แต่โปรดอย่าลืมว่าคุณมาสายหวดแบบเป็ดๆนะ) คุณอาจจะไปลง Cleric 2 ตอน Rank 6 ก็ได้ถ้าเห็นว่า Heal ไม่ทันหรือต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของ Skill เดิมด้วยทักษะ Divide Might (ซึ่งอยู่ใน Cleric Circle 2) หรือถ้าเน้นการ Buff ลงดันเจี้ยนด้วยอาจจะไปเลือก Krivis 1 เพิ่มเติมเต็มการ support รวมถึงประโยชน์จาก Skill ‘Daino’ ที่ช่วยเพิ่มจำนวน Buff ก็ได้ เช่นกันครับ
สำหรับสายโจมตี Monk กับ Paladin ก็มีเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะมี Skill ระดับแรกที่พอจะส่งเสริมการเล่นได้ (แต่สิ่งที่เจ๋งจริงๆของ 2 Class มันดันอยู่ในระดับ 2 กับ 3 นี่แหละ ซึ่งคุณอาจจะเลือกเล่นต่ออีกตอน Rank 7 ก็ได้ แต่ Paradin ถ้าไปไม่ถึงขั้น 3 นี่ก็ไม่ค่อยน่าเล่นเท่าไหร่) สำหรับผู้เขียนเองตอนนี้ยังชั่งใจอยู่ว่าจะเล่นอะไรตอน Rank 6 แต่ Rank 7 มุ่งมั่นแล้วว่าจะเล่น Plague Doctor เพื่อให้กลายเป็นเป็ดที่สมบูรณ์แบบซึ่งผลที่ได้จะเป็นอย่างไรไว้จะมาอัพเดตให้อ่านกันภายหลังครับ
เส้นทางลับสู่อาชีพลับๆ ตามแบบฉบับ Chaplain
เนื่องจาก Chaplain เป็นอาชีพลับของ Priest และสามารถเปลี่ยนได้เร็วที่สุดเมื่อถึง Rank 5 แต่การจะเปลี่ยนสู่อาชีพนี้ก็มีขั้นตอนลับๆ ที่ไม่ใช่แค่กดปุ่ม Advancement แล้วไปทำเควสเหมือนอาชีพอื่นได้ทันที เพราะตัวเลือกการเป็น Chaplain จะไม่มีให้เลือกตอนเปลี่ยนอาชีพจนกว่าคุณจะได้ไปทำเควสลับซะก่อน (เควสนี้ทำตอนไหนก็ได้ครับ แต่จะเปลี่ยนไม่ได้จนกว่าเราจะเข้าสู่ Rank 5 และมีข้อกำหนดครบ) ข้อกำหนดแรกง่ายเลยก็คือ คุณต้องเล่น Priest Circle 3 จนเต็มขั้นและเข้าสู่การเปลี่ยนอาชีพในช่วง Level 125-127 ก่อน จากนั้นก็ไปทำเควสเพื่อให้ Chaplain Master ปรากฏตัวเพื่อคุยเปลี่ยนอาชีพต่อไป โดยขั้นตอนการทำเควสมีดังนี้
เส้นทางของพระบินเดี่ยวยังคงอีกยาวไกล!
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ก็แสดงว่าคุณน่าจะตั้งใจเล่น Rank 5 เพื่อเป็น Chaplain หรือไม่ก็เปลี่ยนอาชีพสำเร็จไปแล้วเรียบร้อย แต่หลังจากนี้ล่ะ? จะเล่นไปทางไหนต่อดี? ในปี 2018 ตัวเกมเพิ่ม Class ใหม่เข้ามาและขยาย Rank ในเกมออกไปอีกถึงระดับ 9 อีกทั้งยังมีน้ำยา Reset สารพัดชนิดให้คุณได้เลือกใช้ตามโอกาสและเทศกาลอยู่บ่อยครั้ง คุณจึงมีโอกาสที่จะลองเปลี่ยนสายอาชีพไปแนวอื่นๆได้ (เบื่อตีๆ จะรีไปลองสายเวทบ้างก็ไม่มีปัญหา) แต่สำหรับคนที่ติดใจการตีรัวๆ ดาเมจกระจุยกระจาย ผมแนะนำให้ลองเดินตามไกด์ของผมต่อไปครับ
หลังจากนี้ผมจะเน้นเลือกสายอาชีพที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายรวมถึงการเลือก Skill เพื่อทำให้พระสายตีรัวกลายเป็นน้องๆรถถังซึ่งสามารถเดินชนกับศัตรูแบบตัวต่อตัว (หรือจะโดนรุมก็ยังไหว) ยาวๆไปจนถึง Level 300+ ได้แบบสบายๆ เป้าหมายหลักต่อจากนี้คือไปจบ Rank 8 โดยเป็น Inquisitor ซึ่งเป็นพระสายตีที่ Skill การโจมตีโหดเอาเรื่อง อีกทั้งยังมี Skill แบบ AOE ที่เข้ามาช่วยเร่งจัดการศัตรูหมู่มากซึ่งพระสายนี้ขาดหายไป ส่วนเรื่องความถึกทนและการฟื้นฟูจากที่ลองเล่นหลาย Class สุดท้ายก็มาจบที่ Skill เบื้องต้นของ Paladin ใน Rank 7 ครับ เพราะไหนๆ เราก็บินเดี่ยวยาวมาจน Rank 5 แล้ว มันก็ต้องไปให้สุดทางซิ..ใช่มั้ย? 🙂
Rank 6 – Cleric Circle 2
แม้ Rank 6 จะมีตัวเลือกมากมายแต่เหตุผลง่ายๆที่ผมเลือกลง Cleric ขั้นที่ 2 เพราะต้องการเก็บตัวช่วยเสริมอย่าง Deprotected Zone ที่ระดับสูงขึ้น รวมถึง Skill อย่าง Divine Might ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทุก Skill ที่ใช้งานต่อกันขึ้นไปอีกระดับ ปูทางไปสู่การเล่น Rank 7-8 ที่ดีขึ้น และเนื่องจากเป็น Class ที่คุณคุ้นเคยมาแต่แรกอยู่แล้ว เกมเพลย์และการเล่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร คุณจึงไม่ต้องปรับตัวมากมายนอกจากอาจจะต้องเปลี่ยนลำดับการกด Skill ก่อนลุยนิดหน่อย ลองมาดูเลยว่า Rank นี้มันมี Skill อะไรเพิ่มมาบ้าง
เป็นบัฟที่สมัยเริ่มต้นมีความเทพมาก แต่ปัจจุบันแม้จะถูกปรับลงมาแล้วก็ยังมีประสิทธิภาพอยู่ หลักการคือ เมื่อคุณร่าย Divine Might แล้ว Skill อะไรก็ตามที่ใช้หลังจากนั้น (ในขณะที่ Divine Might ยังติดตัวคุณอยู่) จะได้รับการยกระดับขึ้นมา 1 Level ครับ ตัวบัฟเองมีระยะเวลาติดตัวอยู่ 60 วินาที และการเพิ่ม Level ให้บัฟนี้จะช่วยเพิ่มจำนวน Skill ที่ใช้ได้ก่อนที่ Divine Might จะหายไปครับ
ในการใช้งานปกติ ผมอัพทักษะนี้ถึงระดับ 5 แปลว่าผมสามารถใช้ Skill อื่นๆต่อจากมันได้ 5 ครั้งก่อนที่บัฟจะหายไป มันจึงมักใช้ในการเริ่มต้นการต่อสู้ ก่อนคุณจะร่ายบัฟอื่นๆอ่าง Blessing, Sacrament, Last Rite หรืออะไรก็ตามที่ใช้ประจำ เป็นการเพิ่มระดับบัฟอื่นๆที่ติดตัวคุณซึ่งช่วยเพิ่มพลังในการโจมตีและป้องกันไปในตัวครับ และหากคุณร่าย Divine Might ในขณะที่ต่อสู้กับศัตรูประเภท Devil พวกมันก็จะโดนโจมตีด้วย
เป็นทักษะสำหรับใช้ในการเอาตัวรอดโดยเฉพาะ เมื่อร่ายคุณจะหายตัวทันที ศัตรูจะมองไม่เห็น ไม่สามารถโจมตีคุณได้จนกว่าบัฟจะสิ้นสุดหรือคุณทำการโจมตี การอัพระดับของ Skill เพิ่มจะช่วยเพิ่มระยะเวลาในการหายตัวให้นานขึ้น แต่ก็ใช้ SP ในการร่ายมากขึ้นตามไปด้วย
จากการใช้งานจริง มันเป็น Skill ที่เอาไว้้หลบหนีหรือหลีกเลี่ยงการปะทะกับศัตรูมากกว่า และก็ยังอาจช่วยคุณได้ตอนที่พลาดเสียท่าโดนรุมกลางวงล้อม โอกาสใช้งานอาจจะยากนิดนึงเพราะ Build ที่คุณเล่นค่อนข้างจะยืนชนศัตรูได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้อัพมาเพือกะเอาไว้เดินตะลุยผ่านฉากที่มอนเวลสูงๆโดยไม่ต้องสู้ ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลยจริงจัง ผมเลยเน้นอัพไว้เผื่อฉุกเฉินแค่ 1 ระดับครับ
Rank 7 – Paladin
เนื่องจากผมเริ่มไกด์นี้ในยุคที่เกมมีแค่ Rank 7 สูงสุด ทางเลือกในการเล่น class ต่างๆจึงมีไม่มากนัก สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าไปจบที่ Plague Doctors เพราะ Skill และความสามารถค่อนข้างอยู่ตรงกลางมากที่สุดในตอนนั้น ครั้นจะลงที่ Paladin เลยก็ไปไม่สุดเพราะอาชีพนี้ถ้าจะเอาให้เก่งคุ้มค่าต้องเล่นถึง Circle 3 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในขณะนั้น แต่หลังจากช่วงต้นปี 2018 เกมได้เพิ่ม Rank 8 และอาชีพใหม่เข้ามา ประกอบกับมีแผนที่จะเพิ่ม Rank 9 ตามมีอีก ทางเลือกในการทำให้พระของเราโหดขึ้นไปอีกจึงมีมากขึ่น ไม่ได้บังคับให้ไปจบที่ Rank 7 อย่างเดียวอีกแล้ว
หลังจากวางแผนและทดลองเล่น Rank 7 เป็น Plague Doctors ไปแล้วเต็มสูตรผมพบว่า ด้วยสไตล์การเล่นเป็นพระรถถังที่เน้นบินเดียวตัว Skill ของ PD เองไม่จัดจ้านดุดันมากพอถ้าคุณเน้นการตีและฟาดแบบ Physical
ประกอบกับความคงทนก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้ส่งเสริมเรื่องของค่าพลังป้องกันมากนัก (มีดีตรงการป้องกันค่า status มากกว่า) ทักษะของ PD ในการบินเดียวจึงไม่โดดเด่นเป็นประโยชน์ในด้านการเข้าชนตรงๆ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่อง SP ที่ regen ไม่ทันใจหากคุณต้องสู้กับศัตรูต่อเนื่องยาวนานในการเล่นจริงๆ เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ผมจึงตัดสินใจ Re-rank ถอยไปลงที่ Paladin เพราะทักษะเบื้องต้นของอาชีพนี้ค่อนข้างตอบโจทย์จากปัญหาที่เจอ ทั้งเรื่องค่าพลังป้องกันธาตุและเวทมนต์ที่สูงขึ้น, อัตราการฟืน HP SP ที่สูงขึ้น, เพิ่มทางเลือกในการโจมตีแบบ AOE และช่วยเปิดช่องทางหลบหนีเวลาถูกศัตรูจำนวนมากรุม (ผลจาก Skill Smite) อีกทั้งยังเป็นทางเล้ือกในการเร่งอัตราการฟื้นฟู SP โดยที่คุณไม่ต้องไปเสียตังอัพแต้ม attribute เพื่อเร่งค่า sp ของ Chaplain มากมายอีกด้วยครับ
มาดูกันเลยว่า Skill ของ Paladin มีอะไรเด่นบ้าง
เป็นการโจมตีแบบ Physical โดยการฟาดลงไปเต็มแรงครั้งเดียวใส่ศัตรู ท่านี้จะโจมตีใส่ศัตรูจำพวก Devil และ Mutant แรงกว่าปกติ 3 เท่า มี AoE Attack Ration อยู่ที่ 4 คงที่ตลอดทุกระดับ (คิดง่ายๆคือโดนศัตรูที่อยู่ด้านหน้าแบบหน้ากระดาน 4 ช่อง) และยังสามารถอัพ Attribute เพิ่มความแรงในการโจมตีและความสามารถ Smith Knockdown Damage ที่ทำให้ศัตรูที่ถูกตีกระเด็นลอยขึ้นไปกลางอากาศ (ตกลงมากระแทกพื้นโดนดาเมจอีก 50%)
*ผลของการใช้ Smith โจมตีศัตรูเป็นกลุ่ม
ในขณะที่คุณเป็น Paladin ท่านี้จะเป็นท่าโจมตีหลักที่ใช้ฟาดใส่ศัตรูเป็นกลุ่ม ช่วยเร่งการพิชิตศัตรูที่เข้ามาจำนวน 3-5 ตัวด้านหน้าได้เป็นอย่างดี และยังสามารถใช้เอาตัวรอดในขณะที่โดนศัตรูจำนวนมากรุมได้ด้วย (เพราะความสามารถของ Smith Knockdown Damage จะทำให้ศัตรูลอยปลิวออกไป) Smith สามารถโจมตีติดต่อกันได้ 3 ครั้งก่อนที่ Skill จะเริ่ม Cooldown ครับ Skill นี้โดยปกติเราก็จะอัพเต็ม 5 ระดับนั่นล่ะ เพิ่มความแรงในการฟาด
เป็นอีกทักษะที่เข้ามาเติมเต็มเรื่องของการฟื้นฟู HP และ MP โดยปกติตัวบัฟเองเมื่อร่ายจะเพิ่มอัตราการฟื้นฟู HP เพียงอย่างเดียวและมีระยะเวลาอยู่ที่ 300 วินาที (Cooldown 60 วินาที) แต่ Skill นี้จะเพิ่มอัตราการฟื้นฟู SP ด้วยหากคุณอัพ Attribute SP Recovery ด้วยซึ่งหากอัพถึงระดับ 5 คุณจะได้อัตราการฟื้นฟู SP สูงถึง 50 หน่วยในขณะที่บัฟนี้คงอยู่ เจ้า Restoration นี้เป็นทักษะที่ร่ายใส่ตัวคุณเองแต่จะมีผลไปถึงผู้เล่นอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงด้วย (แต่ผลของ Skill จะหายไปหากผู้เล่นคนนั้นๆ ไม่ได้อยู่ใกล้คุณ ลักษณะการทำงานแบบ Aura นั่นล่ะ)
สำหรับ Skill นี้ ผมอัพถึงระดับ 5 และเน้นอัพ Attribute SP Recovery ให้เต็มด้วย เท่านี้ก็ลดปัญหาเรื่องการขาดแคลน SP เวลาลุยเดี่ยวนานๆได้ระดับนึงแล้ว
เป็นบัฟที่ร่ายเพ่ือเพิ่มพลังป้องกันการถูกโจมตีด้วยธาตุต่างๆ (ไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า พิษ และดิน) อีกทั้งยังทำให้ศัตรูที่อยู่ใกล้เคียงขณะร่ายมีค่า Magic Attack ลดลง ตัวบัฟจะมีผลกับตัวคุณและผู้เล่นใกล้เคียงและยังมีโอกาสทำให้การโจมตีด้วยธาตุต่างๆ ไม่เกิดผลกับผู้ที่มีบัฟติดตัวด้วย โดยแต่ละระดับของ Skill จะช่วยเพิ่มระยะเวลาของบัฟและ % ที่จะไม่ได้รับความเสียหายจากธาตุต่างๆให้สูงขึ้น ส่วน Attribute ที่สามารถอัพได้ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและเพิ่มโอกาสหลีกเลี่ยงความเสียหายจากธาตุให้สูงขึ้นไปอีกครับ
เป็น Skill ที่ถ้าเล่น Paladin ไม่ว่าสายไหนก็ต้องอัพล่ะ ผมเลือกอัพเต็ม 5 เลย เพราะอย่างที่รู้ พระสายหวดของเราค่อนข้างมีปัญหากับการโจมตีด้วย Magic การอัพ Skill นี้ช่วยลดความเสี่ยงไปได้พอสมควรครับ
เป็นการร่ายเวทมนต์ที่มีสถานะ Holy ออกไปด้านหน้าเพื่อโจมตีเหล่าศัตรู มีโอกาสที่จะทำให้ศัตรูจำพวก Devil หรือ Mutant ตายได้ทันที ตัว Skill สามารถใช้ได้ 2 ครั้งก่อนที่จะเริ่ม Cooldown 50 วินาที การอัพระดับสูงขึ้นนอกจากเพิ่มความแรงแล้วยังเพิ่ม AoE Attack Ration ให้สูงขึ้นตามไปด้วย
สำหรับการเลือกที่จะอัพหรือไม่นั้น อยู่ทีวิธีการเล่นและศัตรูที่คุณเจอ แม้ว่าตัว Skill เองจะไม่ได้คิดความแรงอ้างอิงคาก INT หรือ SP โดยตรงแต่การโจมตีเป็นลักษณะของ Magic มันจึงคิดความแรงตาม Magic Attack จากอาวุธและการพัฒนาแต้ม Stat ไปโดยปริยาย ถ้าคุณเน้นสายฟาด อัดแต่ STR มายาวๆโดยที่ไม่มี INT มากมาย การเอาแต้มตรงนี้ไปเทให้ Skill อื่นอาจเป็นเรื่องทีดีกว่า ทว่าหากคุณเน้นเก็บ LEVEL หรือเจอศัตรูจำพวก Devil บ่อยๆ การอัพแต้มไว้ซัก 1 เพื่อเอาไว้ยิงศัตรูเป็นหมู่ก็อาจคุ้มค่าอยู่บ้างครับ แต่โดยส่วนตัวผมเว้น Skill นี้เอาแต้มไปเทให้ทักษะก่อนหน้าจนเต็มเลยดีกว่า
———————————————————————————————————————————-
การเล่น Paladin เองก็ไม่ได้แตกต่างจาก Chaplain เท่าไหร่เพราะเน้นการกดบัฟก่อนเข้าตีเหมือนกัน การจัดการศัตรูจะไวขึ้น มีลูกล่อลูกชนมากขึ้นจากผลของ Smith และบัฟต่างๆ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังอยู่นิดหน่อย คือเรื่องการซ้อนกันของบัฟ ผมพบว่าเมื่อคุณร่าย Monstrance ติดตัว (Skill ของ Priest) คุณจะไม่สามารถร่าย Restoration ได้ (กดไปไม่มีผล ไม่มีสถานะติดและ Skill เริม Cooldown ทันที) ซึ่งตรงนี้ผมไมแน่ใจว่าเป็นบัคของเกมหรือเปล่า แต่มั่นใจว่าไม่ใช่เรืองจำนวนบัฟล้นแน่ๆ เพราะเมื่อไม่ใช้ Monstrance ก็ร่ายได้ปกติไม่มีปัญหาครับ
Rank 8 – Inquisitor (COMING SOON!)
UPDATE INPROGRESS!
อุปกรณ์สำคัญสำหรับการบินเดี่ยว
แน่นอนว่าการเล่นสายนี้ค่อนข้างเฉพาะตัว ดังนั้นของที่ใช้เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการเล่นก็มีความเฉพาะตัวรวมกันอยู่ด้วย (เฉพาะตัวทั้งความกาก ความเจ๋ง ความหายาก ปนกันสไตล์เป็ด) เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ไปดูอุปกรณ์ป้องกันจำพวกชุดกันก่อนเลย
*ชุดเกราะดีราคาถูกในตลาด หรือจะไปล่าเองก็สบาย
เนื่องจากการเล่นของสายนี้เน้นการตีรัวเป็นหลัก ไม่ว่าจะหนักหรือเบาเราขอเน้นรัวๆ ไว้ก่อนเพราะเราต้องการใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติของอาวุธและการ Stun ที่ได้จากการอัพ Attribute การใช้ค้อนของ Cleric ชุดที่จะใช้จึงมุ่งไปที่ Set item อย่าง “Cafrisun” ที่มีโบนัสสำคัญเมื่อใส่ประกอบกันทั้ง 4 ชิ้นคือ เพิ่มการโจมตีแบบธาตุดินเพิ่มมา 1 ครั้ง แปลว่าทุกครั้งที่คุณฟาดศัตรูจะมีการโจมตีเป็นธาตุดินแยกออกมาอีก 1 ครั้ง (ฟาด 1 ที ทำความเสียหายได้ 2 Hit นั่นล่ะ) เนื่องจากมันเป็นของที่หาง่าย ราคาไม่แพงและมี Level แค่ 15 คุณจึงสามารถหาซื้อได้ในตลาดหรือจะไปล่าเอาเองจากมอนสเตอร์เวล 27 ชื่อ “Cafrisun” ในแผนที่ Srautas Gorge ก็ได้ครับ ชุดนี้เป็นชุดหนังการไปเรียน Attribute Leather Armor ของ Cleric ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการหลบหลีกให้มากขึ้นตามไปด้วย (แต่เอาจริงๆก็ไม่ค่อยเห็นผลนัก)
ในการใช้งานจริงตอนเล่น ผมเองใช้ชุดนี้มาตั้งแต่เวล 15 จนปัจจุบันเกือบจะทะลุ 180 แล้วก็ยังใช้ได้ดีไม่มีปัญหาสำหรับการลุยเดี่ยว แน่นอนว่าพลังป้องกันชุดนั้นค่อนข้างต่ำ การโดนหวดจากศัตรูแบบเต็มแรงจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตรงจุดนี้ก็ต้องอาศัยเทคนิคการใช้ Skill Buff รูปแบบต่างๆ เพื่อเร่งจัดการศัตรูรวมถึงการตี + ชุดให้ได้มากที่สุดก็พอเป็นตัวช่วยได้ สำหรับค่าการป้องกันเพิ่มเติมอื่นๆ นั้น คุณสามารถหาได้จากไอเทมอย่างพวกสร้อยคอ กำไรข้อมือหรือการเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับเครื่องประดับติดหัว อุปกรณ์ตรงนี้ผมไม่ได้ fix ว่าจะต้องใช้อะไร หาอะไรได้ก็ใช้ไปตามมีตามเกิด ส่วนการลงดันเป็นปาร์ตี้ที่การเล่นเน้น Support เพียงอย่างเดียว (ถ้าทีมเข้าใจว่าคุณมาสายเป็ดแล้วเค้าไม่บ่นน่ะนะ) คุณอาจจะหาชุดที่เพิ่มพลังป้องกันสูงๆ รวมถึงเพิ่ม Magic Attack ไว้สลับใช้อีกซักตัวก็ได้เหมือนกันครับ
UPDATE 2018 จะเชื่อหรือไม่ก็ตามที ทุกวันนี้ผมยังคงใส่ชุดเซ็ทนี้เดินชนกับศัตรูอยู่ แม้ Level ตัวละครจะปาเข้าไป 280+ แล้วก็ตาม ผมเน้นใช้ตี + เพิ่มพลังป้องกันเข้าไปแต่กระนั้นค่าพลังก็ไม่ได้สูงเท่ากับชุดเกราะอื่นๆที่ Level ระดับสูง แต่มันก็มีประสิทธิภาพเรื่องการตีรัว อีกทั้งหากเล่นตาม Build ที่แนะนำมานี้ โอกาสที่จะตายก็แทบไม่มี ค่าพลังป้องกันของชุดเกราะที่สูงมากจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับผมครับ
อาวุธหลักที่น่าสนใจที่สุดในตอนนี้ของสายตีรัวๆ ก็คงหนีไม่พ้น “Toy Hammer” ค้อนระดับสีส้ม Level 75 ที่มีคุณสมบัติพิเศษซึ่งจะสร้างการระเบิดทำความเสียหายออกมาเมื่อคุณทำ Damage ใส่ศัตรูต่อเนื่องครบ 10 ครั้ง (และต้องตีต่อเนื่องให้แต่ละครั้งห่างกันไม่เกิน 2 วินาที ไม่งั้นคุณจะต้องไปเริ่มนับการตีใหม่แต่แรก) ในกรณีที่ตีศัตรูหลายๆตัว จำนวนการตีจะไม่นับรวมกัน คือตีตัวไหนก็ต้องตีตัวนั้นต่อเนื่องไปและความเสียหายจากการระเบิดนี้จะไม่ส่งผลในลักษณะ AOE ด้วย แม้จะโจมตีเป็นวงแคบแต่ความเสียหายจาก Hit ที่ 10 ก็แรงพอจนรู้สึกว่าคุ้มค่าอยู่ครับ (2018 ค้อนนี้โดนเนิฟแล้วเรียบร้อย อ่านเพิ่มเติมด้านล่างตรง update 2018)
ข้อดีหลักๆ ของอาวุธชิ้นนี้เลยก็คือ ถ้าคุณหามาใช้ได้ คุณแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนอาวุธอีกเลยตลอดเกม (หรืออย่างน้อยก็จนกว่ามันจะมีของที่ดีกว่ามาทดแทน) แต่เจ้า “Toy Hammer” นี้ก็มีข้อเสียที่ใหญ่หลวงไม่แพ้กันซึ่งก็คือ มันเป็นค้อนที่ “หายาก” มากและถึงมีหลุดเข้าตลาดราคาก็ค่อนข้างสูงมากด้วย นั่นเพราะว่าอาวุธชิ้นนี้จะหาได้จากกล่องของ “Earth Archon” ที่เป็น World boss ประจำแผนที่ Royal Mausoleum Storage เท่านั้น ตัวบอสเกิดทุก 2 ชั่วโมงหลังจากตายส่วนอัตราการเปิดได้ค้อนนั้น อันนี้ผมไม่แน่ใจนัก ข้อมูลหลายที่บอกไม่ตรงกันแต่รวมๆแล้ว % การได้ก็ยังคงน้อยมากอยู่ดี สำหรับตัวเลือกรองที่หาง่ายลงมานิดนึงก็เห็นจะเป็น “Valia” ค้อนสีส้ม Level 120 ที่มีขายในตลาดทั้งตัวค้อนเองและก็ Plan ที่ช่วยให้ตีแรงขึ้นมาอีก ส่วนราคาก็แรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ถ้าทั้งหมดทั้งมวลนี่ยังไม่รู้จะหาอะไรมาใช้ ผมก็ขอแนะนำค้อนบ้านๆธรรมดาๆที่มันมี Option จำพวก +AOE (เช่น Five Hammer ค้อนสีฟ้าระดับ 40 ที่ +AOE 5) เอาไปตี + เพิ่มความแรงเอา ถ้าคุณก้าวมาถึงระดับ Chaplain แล้ว ยังไงซะการหวดรัวๆก็ยังคงแรงเหมือนกันครับ
UPDATE 2018 – อาวุธในเกมมี Level สูงทะลุไปถึงระดับ 350 ซึ่งตั้งแต่ระดับ 270 ขึ้นไป อาวุธจำพวกค้อนส่วนใหญ่จะตีได้แรงกว่า Toy Hammer แล้วประมาณ 1-1.5k แต้ม ประกอบกับตัว Toy Hammer โดนเนิฟลงไปอีก (จากเดิมตี 10 hit ระเบิดนับทุก hit จากการรัว กลายเป็นนับเฉพาะ Hit หลัก อย่างเดียวในการสร้างเงื่อนไข) จึงไม่ค่อยเหมาะกับการตีศัตรูที่ตายไวเท่าไหร่นัก (แต่ใช้หวดบอสยังโอเคอยู่) คุณอาจมองหาอาวุธส้มอื่นๆเป็นทางเลือก ไม่ก็ค้อนฟ้าหรือม่วงทั่วไปตั้งแต่ Level 220-315 ก็ได้ครับ
*Arde Dagger ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ปกติแล้วจะใส่โล่ตามมีตามเกิด จะเป็นของแรงๆหรือธรรมดาก็ได้ขอให้มันมีค่าป้องกันที่สูงหน่อย เพราะการลุยช่วงกลาง-ปลายเกมนั้น คุณจะโดนมอนสเตอร์ตบค่อนข้างหนักหน่วง ถ้าไม่มีโล่ช่วยคุณก็ต้องไปเน้นการฆ่าที่รวดเร็วแทน ตรงนี้ถ้าคุณดวงดีหรือมีเงินเหลือใช้ ผมแนะนำให้ไปหา Arde Dagger มาใส่ เพราะมันจะเพิ่มความเสียหายเป็นธาตุไฟเข้าไปในทุกการโจมตีอีก 153 แต้ม (ไม่สร้าง Hit เพิ่ม) ทำให้คุณตีมอนสเตอร์ได้แรงมากโดยเฉพาะช่วง Level 75-150 ที่การตีเพียงครั้งเดียวกับมอนสเตอร์ระดับไล่ๆ กันนั้น แทบจะเป็น 1 Hit Kill เลยสำหรับสายตีรัว อย่างไรก็ดีเจ้ามีดนี้ก็ลดการป้องกันการถูกโจมตีด้วยธาตุไฟของผู้ถือลง 38 แต้มด้วย ยิ่งพระสายหวดที่แพ้ทาง Magic Attack ด้วยอยู่แล้ว ถ้าใช้มีดนี้เข้าต่อสู้ก็ต้องดูซักนิดว่ามอนสเตอร์ที่คุณตีอยู่โจมตีเป็นแบบไหนนะครับ
เทคนิคในการเก็บ Level ด้วยตัวคนเดียว Part-1
เนื่องจากพระสายหวดที่นำเสนอในไกด์นี้มีความพิเศษกว่าอาชีพอื่นๆ คือ สามารถลุยเดี่ยวได้ในทุกภารกิจที่เกมนำเสนอ (รวมถึงดันเจี้ยนบางแห่ง) ตีได้แรง และรักษาตัวเองได้ การเก็บ Level สำหรับ Chaplain หรือพระสายนี้จึงมีความยืดหยุ่นกว่าสายอาชีพอื่นที่เน้นการเล่นเป็นปาร์ตี้พอสมควร ซึ่งสิ่งที่ผมจะแนะนำในหัวข้อนี้ก็คือ ลักษณะการเก็บ Level ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมาก 2 แบบ คือ “การเล่นแบบดองการ์ด” และ “การเล่นแบบกดการ์ดไปเรื่อยๆ” พระสายนี้เล่นแบบไหนจะดีกว่ากัน? จำเป็นหรือไม่ที่ต้องอดทนเก็บการ์ดไว้รอกดเพื่อให้หลุด curve? แต่ก่อนที่จะพูดว่าวิธีไหนดีกว่ากัน เราลองมารู้จักกับพื้นฐานของระบบ Level ในเกมนี้กันก่อนครับ
การเก็บค่าประสบการณ์เพื่อเลื่อนระดับในเกม RPG ส่วนใหญ่ จะใช้วิธีเฉลี่ย EXP ที่ต้องการออกเป็นอัตราส่วนเท่าๆ กันในทุกระดับ ที่ระดับต่ำก็ต้องการน้อย ที่ระดับสูงก็ต้องใช้ EXP มาก เป็นต้น แต่ใน Tree of Savior นั้นเกมจะแบ่งค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้เพื่อเลื่อนระดับแบบน้อยไปมากออกเป็นช่วงๆ แทน พูดให้ง่ายก็คือในแต่ละช่วงของ Level ที่เกมกำหนดมานั้นค่า EXP ที่ใช้จะมีอัตราส่วนไม่เท่ากัน และจุดที่ต้องใช้ EXP มากที่สุดในช่วง Level นั้นเพื่อข้ามระดับไปก็คือ EXP Curve นั่นเอง (ดูรูปประกอบ) ทำไมหลายคนถึงกลัว!? เพราะจุดนั้นคุณต้องใช้เวลาในการเล่นมากกว่าปกติเพื่อที่จะเก็บค่าประสบการณ์ในการข้ามระดับ ซึ่งเวลาที่ใช้ในการเล่นตรงนี้ของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน บางคนเล่นได้เร็วไม่มีปัญหา บางคนเล่นกันนานเป็นชาติถึงจะผ่านไปได้ นี่เองจึงเป็นที่มาของการแนะนำแบบปากต่อปากจากผู้เล่นเกี่ยวกับการ “ดอง EXP Card” ไว้ใช้เพื่อข้าม Curve (หรือที่เรียกกันว่ายอดดอย) เพราะการกดการ์ดในช่วงนี้จะทำให้คุณสามารถข้ามระดับได้เร็วที่สุด แต่การข้ามระดับที่จุดนี้แบบเร็วสุดก็อาจจะต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆ อย่างทั้งช่วงก่อนและหลังจากผ่าน Curve ทั้งเรื่องของความอดทนในการเก็บ EXP สไตล์การเล่นที่อาจจะต้องเน้นลงดันเพื่อเก็บการ์ดไว้ใช้ภายหลัง หรือแม้แต่การลองผิดลองถูกที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ (นอกจากเล่นใหม่) ซึ่งก็แน่นอนว่า..ไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกสนุกกับการเล่นแบบที่ว่ามา บางคนจึงเลือกที่จะเล่นไปกด EXP Card ไปด้วยโดยเลือกที่จะไปตายเอาดาบหน้าแทน! (เหมือนผู้เขียน lol ) และจากประสบการณ์ตรงที่ได้ทดสอบกับสายอาชีพในไกด์นี้ผมกล้าพูดเลยว่า ไม่ว่าคุณจะเก็บการ์ดไว้กดหรือเล่นไปกดไปก็ตาม การข้าม EXP Curve ของพระสายหวดนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างที่หลายคนกล่าวเลยครับ
EXP Card เป็นไอเทมรูปแบบหนึ่งซึ่งเมื่อกดใช้จะมอบค่าประสบการณ์ให้กับผู้เล่นแบบคงที่ ไม่เกี่ยงว่าตอนนั้นคุณจะมี Level เท่าไหร่ โดย EXP Card ในเกมนี้จะมีอยู่ 12 ระดับซึ่งให้ค่าประสบการณ์แตกต่างกันไปตามนี้
Lv 01 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 1 (EXP = 500 CLASS EXP = 385)
Lv 02 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 5 (EXP = 2,686 CLASS EXP = 2,668)
Lv 03 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 20 (EXP = 8,442 CLASS EXP = 6,500)
Lv 04 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 40 (EXP = 22,860 CLASS EXP = 17,602)
Lv 05 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 60 (EXP = 24,571 CLASS EXP = 18,919)
Lv 06 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 80 (EXP = 60,312 CLASS EXP = 46,440)
Lv 07 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 100 (EXP = 142,150 CLASS EXP = 109,455)
Lv 08 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 120 (EXP = 209,334 CLASS EXP = 161,187)
Lv 09 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 150 (EXP = 237,943 CLASS EXP = 183,216)
Lv 10 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 180 (EXP = 541,023 CLASS EXP = 416,587)
Lv 11 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 210 (EXP = 985,061 CLASS EXP = 758,496)
Lv 12 EXP Card – ใช้ได้เมื่อ Lv 250 (EXP = 2,420,348 CLASS EXP = 1,863,667)
EXP Card ในเกมนี้สามารถหาได้จากการทำเควส, สุ่มตกจากศัตรู, เปิดแผนที่ให้ได้ 100% แล้วนำไปแลกกับ NPC Wing of Viboral, การทำ Daily Quest ที่เมือง Fedimian ซึ่งสามารถทำได้ 5 ครั้งต่อวันและจะได้รางวัลเป็น EXP Card 5 ใบ (มีให้ทำทุก 24 ชั่งโมงและจะ Reset ทุก 5 โมงเย็นตามเวลาบ้านเรา) ดังนั้นคนที่กลัวว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งจะหา EXP Card ไม่ได้ ผมบอกเลยว่าไม่ต้องกังวลครับ ต่อให้คุณทำเควสทุกอันที่เกมให้มาจนหมดแล้ว คุณก็ยังมี Daily Quest ให้ทำรายวันอีก แถม EXP Card ที่ได้เป็นของรางวัลนี้จะปรับระดับตาม Level ของเราด้วย ตรงจุดนี้สำหรับคนที่อยากจะเล่นแบบไม่ดองการ์ด คุณอาจจะกด EXP Card เล่นๆ วันละ 5 ใบเป็นหลักก็ได้จากนั้นก็ใช้วิธีเล่นไปกดไปเรื่อยเหมือนเดิมก็ตามสะดวก
การเก็บ EXP ลักษณะนี้โดยหลักการแล้วก็คือ เมื่อผู้เล่นได้ EXP Card จากการทำเควสเรียบร้อยแล้ว จะไม่กดใช้การ์ดทันที แต่จะเก็บไว้ใช้ในช่วงที่เริ่มไต่ขึ้นสู่ช่วง EXP Curve หรือกดเพื่อให้ระดับ Level ของตัวละครพอดีกับระดับ Level ของดันเจี้ยน (50, 90, 115, 130, 145, 175, 190 และ 217) เพื่อที่จะได้เก็บ EXP จากการลงดันเจี้ยนได้แทน วิธีนี้จะไม่มีการกดใช้การ์ดเลยจนกว่าจะถึงจุดที่กำหนดและต้องอดทนตีมอนในดันเจี้ยนไปเรื่อยๆ วันละ 3 รอบ สำหรับจุดที่มีปัญหากันส่วนมากเมื่อเล่นวิธีนี้คือ ช่วงตั้งแต่ Level 160-186 ขึ้นไปเพราะแผนที่ที่เกมมีให้นั้นไม่ได้เหมาะกับการทำเควสหรือตีมอนเพื่อเก็บ EXP สำหรับทุกสายอาชีพ การกดใช้การ์ดในช่วงจังหวะนี้เพื่อให้พ้น Curve จึงเป็นวิธีข้ามระดับ Level ในเกมที่เร็วที่สุดนั่นเอง และช่วง Curve หลักๆ ที่หลายคนนิยมเก็บการ์ดไว้รอกด ยกตัวอย่างก็มีดังนี้ครับ (กดให้พ้น LV สุดท้ายก่อนขึ้นรอบใหม่)
ช่วงที่ 1 คือ LV1-16
ช่วงที่ 2 คือ LV17-46
ช่วงที่ 3 คือ LV47-86
ช่วงที่ 4 คือ LV87-136
ช่วงที่ 5 คือ LV137-186
สิ่งที่คุณควรจะรู้หากจะเล่นแบบดองการ์ดไว้กดคือ ต้องรู้ว่า Exp Curve นั้นอยู่ในช่วง Level ไหนบ้างจะได้กดใช้การ์ดถูกจังหวะ, จำนวนการ์ดที่ใช้ในการข้ามระดับต้องใช้เท่าไหร่? สายอาชีพที่คุณเล่นนั้นสามารถทำเควสในแผนที่ที่มอนสเตอร์มีระดับ Level ต่างจากคุณได้มากแค่ไหน!? จากนั้นก็ลองไปคำนวนการกดใช้การ์ดว่าต้องใช้การ์ด Level อะไรกี่ใบครับ (เวปคำนวนการ์ดอยู่ท้ายบทความ) วิธีนี้การันตีได้ว่าเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการข้าม Curve แต่อาจจะไม่ใช่วิธีที่เล่นได้สนุกเท่าไหร่นัก เพราะคุณต้องอดทนเก็บการ์ดไว้ใช้เมื่อถึงจุดที่กำหนดแล้วเน้นการลงดันเจี้ยนเก็บ LV เป็นหลักแทน ซึ่งแน่นอนสำหรับคนที่ไม่มีทีมประจำหรือเป็นพระที่สร้างมาแบบครึ่งๆกลางๆ (อย่างสายที่ผมแนะนำให้ไกด์) การสุ่มปาร์ตี้เข้าเล่นและหวังว่าคนอื่นจะเข้าใจ Build ของคุณบางทีก็เป็นเรื่องยาก (ยากกว่าตีมอนคนเดียวซะอีกในบางครั้ง lol) ดังนั้นจงทำใจหากคุณคิดจะเล่นด้วยวิธีนี้ครับ
เทคนิคในการเก็บ Level ด้วยตัวคนเดียว Part-2
ถ้าคุณตัดสินใจที่จะคิดนอกกรอบแล้วลองวิธีนี้ (ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรผิดหรือถูก) ก่อนอื่นเลยคงต้องบอกว่าอย่าไปตื่นเต้นตกใจอะไรมากกับเจ้า “EXP Curve” ที่ว่า หลายคนอาจจะกลัวว่าจะไม่สามารถเก็บ LV ได้เมื่อถึงจุดที่กำหนดหากไม่ได้เก็บ EXP Card ไว้รอใช้และกลายสภาพเป็น “เด็กติดดอย!” (จุดสูงสุดของ EXp Curve ในแต่ละช่วงนั่นแหละ) ถึงขนาดไปลบตัวทิ้งแล้วสร้างมาเล่นใหม่ แต่จริงๆ แล้วจุดนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับ ถ้าอาชีพที่คุณเล่นสามารถดูแลตัวเองได้และรู้ว่าควรทำอะไรตอนไหน เพราะเกมนี้ออกแบบการเก็บ Level ด้วยเควสให้เหมาะกับทุกระดับโดยการแบ่งแผนที่เป็นโซนต่างๆ ซึ่งบางช่วงอาจจะมีเควสให้ทำมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป คุณแค่ต้องทำเควสเพื่อไล่เก็บ EXP Card มาใช้เท่านั้น ถ้าคิดกันง่ายๆ แบบสำเร็จรูป เจ้า XP Card นี่ก็เหมือนค่าประสบการณ์ที่คุณควรจะได้หลังจากจบเควสทันทีเหมือนเกมอื่นๆ แค่นั้นเอง
ปัญหาส่วนใหญ่ของคนที่ไม่ดองการ์ดและมาในสายอาชีพที่ค่อนข้างเปราะบางคือ จะไม่สามารถหาแผนที่เพื่อฟาร์มเรื่อยๆ ได้ถ้าไม่ได้อัพตัวละครมาให้รับได้ทุกสถานการณ์ และยิ่งเป็นสายอาชีพที่ต้องเน้นการเล่นเป็นทีมหรือไม่สามารถลุยคนเดียวได้จริงจังจนต้องนั่งพักกันรัวๆ การไล่ฟาร์มตามแผนที่ช่วง LV 160-187 นั้นจะมีความยากลำบากมาก แต่สำหรับพระสายบินเดี่ยวอย่างเราๆท่านๆ ที่ตีเองรักษาตัวเองได้ตามไกด์นี้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ดองการ์ดมาก็สามารถเก็บ LV ด้วยตัวคุณเองได้แบบสบายๆ ไม่ได้ต่างจากการ Grinding ทั่วไปในเกมอื่นๆ ครับ ซึ่งจากการทดสอบจริงนั้นผมไม่เคยดองการ์ดเลย เล่นไปกดไปเรื่อยๆ ดันเจี้ยนก็ไม่ได้ลงจริงๆ จังๆ (แทบไม่ได้ลงเลยเพราะมัวแต่ฟาร์มมีดมาขายที่ดัน 90 อย่างเดียว) แต่ก็สามารถเล่นผ่านไปได้โดยไม่รู้สึกติดขัดอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะช่วง LV160-186 นั้น ถ้าคุณบินเดี่ยวได้และรู้ว่าควรทำอะไรที่ไหน การเก็บ LV จะง่ายมาก ไม่ต้องไล่ฟาร์มกันหูตาแหก ไม่ต้องลงไปดองในคุกหรือทำฟาร์มผึ้งน้อยอะไรทั้งนั้น แค่เล่นไปเรื่อยๆ ด้วยการเดินตามเควสซึ่งมันก็ไม่ได้ใช้เวลานานอะไรมากอย่างที่หลายคนกลัวด้วย
วิธีการของผมไม่มีอะไรมากครับ อย่างแรกคือ ไม่ว่าคุณจะเล่นแผนที่ไหน คุณต้องพยายามเปิดแผนที่ให้ได้ 100% ในทุกแผนที่ที่คุณไป (เพื่อเอาไปแลก EXP Card กับ NPC Wing of Vibora) จากนั้นก็เลือกลงทำเควสในแผนที่ที่มีระดับ LV ใกล้เคียงหรือต่างกับคุณไม่เกิน 10 ระดับ (ถ้า LV ห่างกันเกินไป เควสในแผนที่นั้นจะไม่ปรากฏ แม้คุณจะคุยกับ NPC รัวๆแล้วก็ตาม) ขณะทำเควสในแผนที่นั้นห้ามกดการ์ด เพราะหลายเควสจะให้คุณทำนู้นนี่นั้น ตีมอนสเตอร์บ้างอะไรบ้าง ตรงจุดนี้เหมือนการฟาร์มเล็กๆไปในตัวระหว่างทางครับ ให้คุณตะลุยทำเควสให้ครบทั้งหมดแล้วค่อยกดการ์ด (เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวนและรักษาระดับ LV ของคุณกับแผนที่ไม่ให้ห่างกันเกิน 10) โดยเฉลี่ยแล้วช่วง LV 160-180 แค่ทำเควส 1-2 แผนที่ คุณก็จะได้การ์ดมากดเพียงพอที่จะอัพ 1-2 Level แล้ว (อันนี้ยืนยัน เพราะทำมากับตัวจนกระทั่งข้าม Curve ที่ LV186) ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแผนที่ให้ลงทำเควสครับ เกมจัดมาให้อย่างเพียงพออยู่แล้ว แค่พยายามรักษาระดับ LV ของตัวเองไม่ให้ห่างจากแผนที่เกิน 10 ระดับอย่างที่กล่าวไป ออ…แล้วอย่าลืมทำเควสรายวันที่เมือง Fedimian อีก 5 เควสด้วยล่ะ เพราะคุณจะได้การ์ดมากดฟรี 5 ใบต่อวันครับ (ถ้าทำ Mission LV100 ได้เองก็ถือเป็นของแถม)
ช่วง LV130-140 ถ้าไม่รู้จะไปลุยที่ไหน คุณอาจจะไล่ตามเควสไปยังแผนที่ LV 137 Main Chamber ก็ได้ เพราะนอกจากจะมีเควสให้เก็บแล้ว ศัตรูที่นี่ในส่วน Corridor ก็ยังโจมตีเป็นแบบ Physical Attack ด้วย เหมาะมากเมื่อใช้ Safety Zone+Stone Skin ในการรับมือ เรียกว่าทำเควสไปด้วย ได้ฟาร์มเล็กๆไปในตัว และค่าประสบการณ์ที่ได้ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจอีกด้วยครับ
ช่วง LV 160-187 การไล่ทำเควสหรือจุดฟาร์มย่อยๆ อาจจะรู้สึกว่ามีน้อยหรือลำบากมากกว่าปกติ แต่จริงๆแล้วถ้าคุณรับมือกับศัตรูที่ตบหนักหน่วงไหว ช่วงนี้เกมก็ยังมีเควสรองรับอยู่ครับ ผมเองใช้วิธีไล่ทำเควสในแผนที่ดังรูปประกอบด้านบนเพื่อไล่เก็บการ์ด (แผนที่เต็มทั้งเกมสามารถดูได้จาก link ในส่วนท้ายบทความหัวข้อ World Map ครับ) เปิดแผนที่จนครบเพื่อแลกการ์ด ตลอดจนไล่ตีมอนสเตอร์รายทางเหมือนการฟาร์มย่อยๆไปในตัว (EXP บางส่วนที่ขาดหายก็ทดแทนได้จาก Daily Quest ครับ) ทั้งหมดนี้เพียงพอสำหรับการข้าม Curve ลูกใหญ่ซึ่งเป็นปัญหาของใครหลายๆคนที่ LV 186 แน่นอน แถมยังมี EXP Card LV9 เหลือติดไม้ติดมือไว้ใช้ได้อีกนิดหน่อยด้วยครับ (ส่วน LV 220 ไปแล้ว อันนั้นค่อยไปว่ากันทีหลัง lol)
สำหรับเทคนิคการเก็บ LV ในหัวข้อนี้ย้ำกันอีกทีว่า Build ที่ใช้ทดสอบคือ พระสายโซโลตามที่ระบุไว้ในไกด์ซึ่งดูแลตัวเองได้ในหลายสถานการณ์ (เดินลุยได้ไม่ต้องนั่งพักให้เสียเวลา) และอ้างอิงที่ Level 1-200 โดยที่ตัวละครมาพร้อมอาวุธและอุปกรณ์ตรงตามที่แนะนำ ทั้งยังไม่เคยลงดันเจี้ยนเพื่อเก็บ LV แต่ใช้การทำเควสตามแผนที่ให้เหมาะสมกับระดับของตัวเอง ผู้เขียนใช้วีธีเล่นไปกดใบ EXP ไปเรื่อยตลอดทั้งเกมและยอมรับว่าวิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีข้าม EXP Curve ที่เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นหรือใช้เวลานานเหมือนที่หลายคนพูดกันจนน่ากลัว ถ้าคุณนำไปปรับประยุกต์ใช้โปรดเข้าใจด้วยว่าประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันออกไปตามสไตล์การเล่นและเวลาที่มีให้กับเกม รวมถึงจุดอ่อนจุดแข็งของสายอาชีพที่คุณเลือกเล่นด้วย ท้ายสุดนี้ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะพิสูจน์ว่าวิธีการเล่นแบบไหนนั้นผิดหรือถูก แต่ต้องการแชร์ประสบการณ์ให้เห็นว่า การเก็บ Level ใน ToS นั้นทำได้มากกว่า 1 วิธี ซึ่งคุณจะเลือกใช้วิธีไหน ก็สุดแท้แต่ความสุขและความพอใจในการเล่นครับ
ส่งท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด
เอาจริงๆ แล้วเนื้อหาในบทความนี้ยังไม่จบสมบูรณ์อย่างที่ผมตั้งใจเอาไว้ อย่างน้อยก็ยังเหลือส่วน Rank 8-9 ที่ยังไม่ถูกนำเสนอซึ่งจุดนี้ผมจะทยอยเพิ่มเติมเนื้อหาเข้ามาภายหลังเนื่องจากต้องการไล่เก็บรายละเอียดให้ได้จริงๆก่อน ซึ่งระหว่างที่รอนี้ก็หวังว่ารายละเอียดต่างๆ ที่ผมนำเสนอไปแล้ว จะพอเป็นแนวทางหรือช่วยสร้างไอเดียใหม่ๆให้คุณสามารถนำไปเล่นต่อยอดได้อีกไม่มากก็น้อยนะครับ และสำหรับท่านที่ชื่นชอบบทความก็สามารถ Rate up, Favorite เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์บทความสไตล์นี้กันต่อไป หรือถ้ามีข้อคิดเห็นอยากจะติชมก็สามารถแสดงความคิดเห็นผ่านคอมเมนท์ด้านล่างบทความได้เลยครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงตรงนี้…แล้วพบกันในโอกาสหน้าครับ
————————————————————————————————————————————–
ตั้งแต่ปี 2018 ตัวเกมปรับเพิ่มขั้น Rank 8 และกำลังมีแผนจะเพิ่ม Rank 9 เข้ามาอีก หากมีเวลาและรายละเอียดต่างๆ ลงตัว ผมจะตามมาอัพเดตพระสายรถถังกันต่อนะครับ 🙂